ในช่วงประมาณ 200 กว่าปีที่ผ่านมา สังคมต่างๆ ทั่วโลกต่างได้รับอิทธิพลครอบงำจากฝ่ายยุโรปตะวันตกผ่าน 2 แนวทางด้วยกันคือ
1. ลัทธิการล่าอาณานิคม รวมทั้งการจัดทำสนธิสัญญานอกอาณาเขต ที่อำนวยให้ฝ่ายยุโรปตะวันตกมีอำนาจทางกฎหมาย เหนือกฎหมายภายในของสังคมหรือประเทศต่างๆ เช่นการที่พลเมืองของยุโรปตะวันตก รวมทั้งคนในบังคับ ไม่ต้องขึ้นกับศาลของประเทศที่มีพละกำลังด้อยกว่า เช่นในกรณีของสยาม ที่ไม่สามารถนำเอาคนชาติยุโรป และคนในบังคับของเจ้าอาณานิคมยุโรปมาขึ้นตัดสินความผิดโดยศาลไทยได้ เป็นต้น
2. ฝ่ายยุโรปตะวันตกได้นำเอาปรัชญา และทฤษฎีทางการเมือง หรืออุดมการณ์ทางการเมืองต่างๆ เข้ามาเผยแพร่ จนแพร่ขยายไปในประเทศด้อยพัฒนาต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นไปในทวีปเอเชีย แอฟริกา และอเมริกาใต้ เช่น ลัทธิเสรีนิยม ลัทธิสังคมนิยม รวมทั้งลัทธิมาร์กซ์และเลนิน ลัทธิอนุรักษ์นิยม ลัทธิชาตินิยม หรือชาติพันธุ์นิยม เป็นต้น และในการนี้ประเทศด้อยพัฒนาทั้งหลายที่กล่าวโดยรวมว่า เป็นกลุ่มประเทศโลกที่สาม (The Third World) หรือบัดนี้เรียกแทนว่า กลุ่มประเทศทางตอนใต้ (The Global South)ส่วนใหญ่ต่างเลือกระบบการเมืองการปกครองแบบประชาธิปไตย (หลายพรรคการเมืองแข่งขันกัน) เพื่อเข้าเป็นตัวแทนของประชาชนและเข้าสู่อำนาจรัฐ หรือระบบการเมืองการปกครองแบบเผด็จการนำพา ในรูปของพรรคเดียวปกครองบ้านเมือง หรือองค์บุคคล หรือกลุ่มคณะน้อยนิดเป็นใหญ่แต่ผู้เดียว (One Party หรือ Authoritarian Leader)
ในกรณีของสยาม เราก็มีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างการปกครองบ้านเมือง และการเลิกทาส และระบบขุนนางศักดินา เช่นในช่วงของสมัยรัชกาลที่ 5 โดยมุ่งหวังว่าจะช่วยเสริมสร้างความทันสมัย และความทัดเทียม ไม่ให้น้อยหน้าไปกว่าฝ่ายยุโรปตะวันตก คู่ขนานกับการขยายการทำมาค้าขายระหว่างประเทศ ด้วยกฎเกณฑ์กติกาของฝ่ายยุโรปตะวันตก พร้อมกับการนำเอาผลิตภัณฑ์และเทคโนโลยีร่วมสมัยเข้ามาพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐาน และระบบสาธารณูปโภค (Infrastructure and Public Utilities) ให้กับสังคมสยาม เป็นต้น
จนกระทั่งเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2475 สยามก็ได้มีการเปลี่ยนแปลงระบอบการเมืองการปกครองจากสมบูรณาญาสิทธิราชย์ มาเป็นการเมืองการปกครองที่พระมหากษัตริย์อยู่ภายใต้กฎหมายรัฐธรรมนูญในกรอบสังคมเสรีประชาธิปไตย (Liberal Democracy) ในรูปแบบของประชาธิปไตยแบบรัฐสภา (Parliamentary Democracy) ที่มีพรรคการเมืองเป็นองค์กรที่มีบทบาทอันสำคัญ และเป็นตัวเชื่อมโยงระหว่างอำนาจรัฐ (State Authority) กับประชาชนพลเมือง ซึ่งในกฎหมายรัฐธรรมนูญได้มีการกำหนดบทบาทของพระมหากษัตริย์ว่า จะทรงใช้อำนาจของปวงชนชาวไทยผ่านฝ่ายบริหาร ฝ่ายนิติบัญญัติ และฝ่ายตุลาการ เป็นต้น
ทั้งหมดนี้ในช่วง 200 กว่าปีที่ผ่านมา จึงกล่าวได้ว่าไทยเราได้รับเอาความคิดความอ่านและวิธีการบริหารบ้านเมืองจากฝ่ายยุโรปตะวันตกมาทั้งหมด และในการนี้ฝ่ายไทยก็ได้มีการจัดส่งลูกหลานไปร่ำเรียนที่หลายประเทศในทวีปยุโรปทำให้ได้สัมผัสกับทั้งทฤษฎีและการปฏิบัติว่าด้วยเรื่องการบ้านการเมือง และได้นำเอาองค์ความรู้และประสบการณ์กลับมาที่ถิ่นกำเนิด ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในสังคมไทยด้วยการจัดตั้งคณะราษฎร และการยึดอำนาจเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 มีการขีดเขียนธรรมนูญการปกครอง และกฎหมายรัฐธรรมนูญอีกหลายๆ ฉบับต่อมาจนกระทั่งทุกวันนี้ ซึ่งเป็นการรับอิทธิพลความคิดของฝ่ายยุโรปตะวันตกมาอย่างสิ้นเชิง
ในระยะเวลา 92 ปีที่ผ่านมา พวกเราชาวไทยได้ลืมหรือมองข้ามความคิดอ่าน ระบบความเชื่อ และประเพณีวัฒนธรรมว่าด้วยการเมืองการปกครองของไทยอย่างสิ้นเชิงที่จะพอคงหลงเหลืออยู่บ้างก็เพียงวลีที่ว่า “....เราจะปกครองแผ่นดินโดยธรรม....” แต่ทว่าหลักธรรมของไทย
เรามิได้อยู่ในห้วงความคิด หรือการปฏิบัติแต่อย่างใด เพราะเราได้ไปให้ความสนอกสนใจกับหลักคิดของฝ่ายยุโรปตะวันตกว่าด้วย การมีและเคารพกฎหมาย (Rule of Law) หลักสิทธิมนุษยชน รวมทั้งหลักสิทธิเสรีภาพ ไปจนถึงการแบ่งแยกและคานอำนาจระหว่างฝ่ายบริหาร ฝ่ายนิติบัญญัติ และฝ่ายตุลาการ
ขณะที่พรรคการเมืองซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการเมืองในระบอบเสรีประชาธิปไตยแบบรัฐสภานั้น มิได้เป็นพรรคการเมืองของประชาชนและสมาชิกอย่างแท้จริง แต่เป็นองค์กรผลประโยชน์เฉพาะกลุ่มและพรรคพวก อีกทั้งก็มีการออกกฎหมายและมีการบังคับใช้อย่างลุ่มๆ ดอนๆ ซึ่งนำไปสู่การฉ้อราษฎร์บังหลวง การทุจริตคอร์รัปชั่น และการใช้อำนาจโดยมิชอบอย่างกว้างขวาง ก็เพราะสังคมไทยเราขาดการเรียนรู้ อบรม บ่มเพาะ และการเตรียมความพร้อมของบุคลากรอย่างจริงจัง และที่สำคัญไทยเรามิได้มีการนำหลักธรรมมาเป็นวิถีชีวิต และเป็นกรอบของสังคมไทยที่ควรจะต้องได้รับการระบุไว้ในกฎหมายรัฐธรรมนูญ เพื่อให้ทุกคน ทุกหมู่เหล่า ได้ปฏิบัติ
ทั้งนี้หลักคิดของฮินดู-พุทธ ที่เคยมีอิทธิพลอย่างมากและลึกซึ้งต่อสังคมและปวงชนชาวไทยนั้น มีจุดเริ่มต้นที่ความรับผิดชอบต่อตนเองเป็นสำคัญ (Duty or responsibility) เช่น หลักศีล 5 และหลักทศพิธราชธรรม เป็นต้น
ในการนี้ หลักคิดของชาวเอเชียดังกล่าวจึงผิดแปลกจากหลักคิดของฝ่ายยุโรปตะวันตก ที่มักจะเริ่มต้นที่การเรียกร้องสิทธิ และการต่อสู้เพื่อสิทธิ แต่ของฝ่ายเอเชียเริ่มต้นที่การมีความรับผิดชอบ
บัดนี้ จึงถึงเวลาแล้วที่เราชาวไทย และชาวโลกที่สาม จะต้องปลดแอกจากอิทธิพลครอบงำทางความคิด และวิธีการจากทางฝ่ายยุโรปตะวันตก และหวนกลับมาเริ่มต้นใหม่ที่หลักคิดของเราเอง
ฉะนั้นในการนี้ เราชาวไทยต้องกลับมาเริ่มต้นที่หลักธรรม และหลักความรับผิดชอบกันใหม่ และเมื่อทุกคนมีธรรมอยู่ในใจ และมีการปฏิบัติทางธรรมด้วยความรับผิดชอบต่อตนเอง และต่อสังคม เราก็จะสามารถเสริมสร้างสังคมประชาธิปไตยที่ประชาชนพลเมืองเป็นใหญ่ เป็นเจ้าของอำนาจ และมีส่วนร่วมได้อย่างเต็มภาคภูมิ เพราะเรามีหลักธรรมเป็นตัวนำพา และเรามีหลักความรับผิดชอบเป็นจุดเริ่มต้นของการปฏิบัติตนที่สร้างสรรค์ และเป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี