วันเสาร์ ที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568
ในช่วงประมาณ 200 กว่าปีที่ผ่านมา สังคมต่างๆ ทั่วโลกต่างได้รับอิทธิพลครอบงำจากฝ่ายยุโรปตะวันตกผ่าน 2 แนวทางด้วยกันคือ
1. ลัทธิการล่าอาณานิคม รวมทั้งการจัดทำสนธิสัญญานอกอาณาเขต ที่อำนวยให้ฝ่ายยุโรปตะวันตกมีอำนาจทางกฎหมาย เหนือกฎหมายภายในของสังคมหรือประเทศต่างๆ เช่นการที่พลเมืองของยุโรปตะวันตก รวมทั้งคนในบังคับ ไม่ต้องขึ้นกับศาลของประเทศที่มีพละกำลังด้อยกว่า เช่นในกรณีของสยาม ที่ไม่สามารถนำเอาคนชาติยุโรป และคนในบังคับของเจ้าอาณานิคมยุโรปมาขึ้นตัดสินความผิดโดยศาลไทยได้ เป็นต้น
2. ฝ่ายยุโรปตะวันตกได้นำเอาปรัชญา และทฤษฎีทางการเมือง หรืออุดมการณ์ทางการเมืองต่างๆ เข้ามาเผยแพร่ จนแพร่ขยายไปในประเทศด้อยพัฒนาต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นไปในทวีปเอเชีย แอฟริกา และอเมริกาใต้ เช่น ลัทธิเสรีนิยม ลัทธิสังคมนิยม รวมทั้งลัทธิมาร์กซ์และเลนิน ลัทธิอนุรักษ์นิยม ลัทธิชาตินิยม หรือชาติพันธุ์นิยม เป็นต้น และในการนี้ประเทศด้อยพัฒนาทั้งหลายที่กล่าวโดยรวมว่า เป็นกลุ่มประเทศโลกที่สาม (The Third World) หรือบัดนี้เรียกแทนว่า กลุ่มประเทศทางตอนใต้ (The Global South)ส่วนใหญ่ต่างเลือกระบบการเมืองการปกครองแบบประชาธิปไตย (หลายพรรคการเมืองแข่งขันกัน) เพื่อเข้าเป็นตัวแทนของประชาชนและเข้าสู่อำนาจรัฐ หรือระบบการเมืองการปกครองแบบเผด็จการนำพา ในรูปของพรรคเดียวปกครองบ้านเมือง หรือองค์บุคคล หรือกลุ่มคณะน้อยนิดเป็นใหญ่แต่ผู้เดียว (One Party หรือ Authoritarian Leader)
ในกรณีของสยาม เราก็มีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างการปกครองบ้านเมือง และการเลิกทาส และระบบขุนนางศักดินา เช่นในช่วงของสมัยรัชกาลที่ 5 โดยมุ่งหวังว่าจะช่วยเสริมสร้างความทันสมัย และความทัดเทียม ไม่ให้น้อยหน้าไปกว่าฝ่ายยุโรปตะวันตก คู่ขนานกับการขยายการทำมาค้าขายระหว่างประเทศ ด้วยกฎเกณฑ์กติกาของฝ่ายยุโรปตะวันตก พร้อมกับการนำเอาผลิตภัณฑ์และเทคโนโลยีร่วมสมัยเข้ามาพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐาน และระบบสาธารณูปโภค (Infrastructure and Public Utilities) ให้กับสังคมสยาม เป็นต้น
จนกระทั่งเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2475 สยามก็ได้มีการเปลี่ยนแปลงระบอบการเมืองการปกครองจากสมบูรณาญาสิทธิราชย์ มาเป็นการเมืองการปกครองที่พระมหากษัตริย์อยู่ภายใต้กฎหมายรัฐธรรมนูญในกรอบสังคมเสรีประชาธิปไตย (Liberal Democracy) ในรูปแบบของประชาธิปไตยแบบรัฐสภา (Parliamentary Democracy) ที่มีพรรคการเมืองเป็นองค์กรที่มีบทบาทอันสำคัญ และเป็นตัวเชื่อมโยงระหว่างอำนาจรัฐ (State Authority) กับประชาชนพลเมือง ซึ่งในกฎหมายรัฐธรรมนูญได้มีการกำหนดบทบาทของพระมหากษัตริย์ว่า จะทรงใช้อำนาจของปวงชนชาวไทยผ่านฝ่ายบริหาร ฝ่ายนิติบัญญัติ และฝ่ายตุลาการ เป็นต้น
ทั้งหมดนี้ในช่วง 200 กว่าปีที่ผ่านมา จึงกล่าวได้ว่าไทยเราได้รับเอาความคิดความอ่านและวิธีการบริหารบ้านเมืองจากฝ่ายยุโรปตะวันตกมาทั้งหมด และในการนี้ฝ่ายไทยก็ได้มีการจัดส่งลูกหลานไปร่ำเรียนที่หลายประเทศในทวีปยุโรปทำให้ได้สัมผัสกับทั้งทฤษฎีและการปฏิบัติว่าด้วยเรื่องการบ้านการเมือง และได้นำเอาองค์ความรู้และประสบการณ์กลับมาที่ถิ่นกำเนิด ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในสังคมไทยด้วยการจัดตั้งคณะราษฎร และการยึดอำนาจเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 มีการขีดเขียนธรรมนูญการปกครอง และกฎหมายรัฐธรรมนูญอีกหลายๆ ฉบับต่อมาจนกระทั่งทุกวันนี้ ซึ่งเป็นการรับอิทธิพลความคิดของฝ่ายยุโรปตะวันตกมาอย่างสิ้นเชิง
ในระยะเวลา 92 ปีที่ผ่านมา พวกเราชาวไทยได้ลืมหรือมองข้ามความคิดอ่าน ระบบความเชื่อ และประเพณีวัฒนธรรมว่าด้วยการเมืองการปกครองของไทยอย่างสิ้นเชิงที่จะพอคงหลงเหลืออยู่บ้างก็เพียงวลีที่ว่า “....เราจะปกครองแผ่นดินโดยธรรม....” แต่ทว่าหลักธรรมของไทย
เรามิได้อยู่ในห้วงความคิด หรือการปฏิบัติแต่อย่างใด เพราะเราได้ไปให้ความสนอกสนใจกับหลักคิดของฝ่ายยุโรปตะวันตกว่าด้วย การมีและเคารพกฎหมาย (Rule of Law) หลักสิทธิมนุษยชน รวมทั้งหลักสิทธิเสรีภาพ ไปจนถึงการแบ่งแยกและคานอำนาจระหว่างฝ่ายบริหาร ฝ่ายนิติบัญญัติ และฝ่ายตุลาการ
ขณะที่พรรคการเมืองซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการเมืองในระบอบเสรีประชาธิปไตยแบบรัฐสภานั้น มิได้เป็นพรรคการเมืองของประชาชนและสมาชิกอย่างแท้จริง แต่เป็นองค์กรผลประโยชน์เฉพาะกลุ่มและพรรคพวก อีกทั้งก็มีการออกกฎหมายและมีการบังคับใช้อย่างลุ่มๆ ดอนๆ ซึ่งนำไปสู่การฉ้อราษฎร์บังหลวง การทุจริตคอร์รัปชั่น และการใช้อำนาจโดยมิชอบอย่างกว้างขวาง ก็เพราะสังคมไทยเราขาดการเรียนรู้ อบรม บ่มเพาะ และการเตรียมความพร้อมของบุคลากรอย่างจริงจัง และที่สำคัญไทยเรามิได้มีการนำหลักธรรมมาเป็นวิถีชีวิต และเป็นกรอบของสังคมไทยที่ควรจะต้องได้รับการระบุไว้ในกฎหมายรัฐธรรมนูญ เพื่อให้ทุกคน ทุกหมู่เหล่า ได้ปฏิบัติ
ทั้งนี้หลักคิดของฮินดู-พุทธ ที่เคยมีอิทธิพลอย่างมากและลึกซึ้งต่อสังคมและปวงชนชาวไทยนั้น มีจุดเริ่มต้นที่ความรับผิดชอบต่อตนเองเป็นสำคัญ (Duty or responsibility) เช่น หลักศีล 5 และหลักทศพิธราชธรรม เป็นต้น
ในการนี้ หลักคิดของชาวเอเชียดังกล่าวจึงผิดแปลกจากหลักคิดของฝ่ายยุโรปตะวันตก ที่มักจะเริ่มต้นที่การเรียกร้องสิทธิ และการต่อสู้เพื่อสิทธิ แต่ของฝ่ายเอเชียเริ่มต้นที่การมีความรับผิดชอบ
บัดนี้ จึงถึงเวลาแล้วที่เราชาวไทย และชาวโลกที่สาม จะต้องปลดแอกจากอิทธิพลครอบงำทางความคิด และวิธีการจากทางฝ่ายยุโรปตะวันตก และหวนกลับมาเริ่มต้นใหม่ที่หลักคิดของเราเอง
ฉะนั้นในการนี้ เราชาวไทยต้องกลับมาเริ่มต้นที่หลักธรรม และหลักความรับผิดชอบกันใหม่ และเมื่อทุกคนมีธรรมอยู่ในใจ และมีการปฏิบัติทางธรรมด้วยความรับผิดชอบต่อตนเอง และต่อสังคม เราก็จะสามารถเสริมสร้างสังคมประชาธิปไตยที่ประชาชนพลเมืองเป็นใหญ่ เป็นเจ้าของอำนาจ และมีส่วนร่วมได้อย่างเต็มภาคภูมิ เพราะเรามีหลักธรรมเป็นตัวนำพา และเรามีหลักความรับผิดชอบเป็นจุดเริ่มต้นของการปฏิบัติตนที่สร้างสรรค์ และเป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม

'อ.เจษฎ์'มาเอง! เปิด7ข้อเคลียร์ความเชื่อผิดๆปมดื่มนมไทย เปิดวาร์ปนมไทยที่เป็นนมโคแท้
'ปราชญ์ สามสี'ฟาด! 'พรรคส้ม' ใช้ 'สองมาตรฐาน' โจมตีกองทัพ แต่ปัดรับผิดคดีในพรรค
ผีตายยาก!เดอ ลิกต์ โขกทดเจ็บบุกแบ่งแต้มไก่
'กัน จอมพลัง' ควงลูกเมียเปิดใจน้ำตาซึม เผยความผิดพลาด เอาเวลาครอบครัวไปช่วยคนอื่น
'กัมพูชา'ขยับแรง! บุกทลาย2รังใหญ่แก๊งสแกมเมอร์ รวบผู้ต้องหากว่า600คนส่วนใหญ่เป็นชาวต่างชาติ

เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี