“ทุกคนเท่าเทียมกันภายใต้กฎหมาย” คำกล่าวนี้เป็นหลักการของประเทศที่ใช้ “นิติรัฐ-นิติธรรม”เป็นเครื่องมือปกครองประเทศ ขณะเดียวกันมันก็เป็นคำที่คาดหวังด้วย เพราะเอาเข้าจริง
1.ทุกคนก็ไม่ได้เท่าเทียมกันภายใต้กฎหมายจริง คนมีอำนาจ มีเงิน มีอิทธิพลมักจะอยู่เหนือกฎหมายเสมอ ไม่ว่าประเทศไทยจะมีกฎหมายฉบับใด สร้างโดยใคร
2.กฎหมายก็มักจะเปลี่ยนแปลงเพิ่มเติมอยู่เสมอ ตามเจตนารมณ์ของผู้สร้างหรือผู้กำหนดการสร้างซึ่งก็มักจะมีปัญหาตามมาเสมอ เช่น กำหนดโทษมากเกินไปไม่ครอบคลุม มีช่องว่าง รับใช้เฉพาะกลุ่ม-เฉพาะชนชั้น ล้าสมัย ไม่ทันกับปัญหาในปัจจุบัน ฯลฯ
3.ยังมีปัญหาที่ผู้รักษากฎหมายเข้าซ้ำเติมอีก เช่น ใช้กฎหมายไม่เป็นธรรม ไม่เท่าเทียมหรือไม่เสมอหน้ากันทุกคน ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ กลั่นแกล้ง ละเลย รับสินบน ข่มขู่เอาผลประโยชน์ ฯลฯ
แค่ตัวอย่างปัญหาที่ยกมานี้ก็ทำให้กฎหมายไม่ “ศักดิ์สิทธิ์” ตามหลักการของมันและเจตนารมณ์ของรัฐแล้ว (ทุกคนเท่าเทียมกันภายใต้กฎหมายและประเทศปกครองด้วยหลักนิติรัฐ-นิติธรรม)
ประเทศใดที่ใช้กฎหมายอย่างเดียว ต่อให้สร้างไว้เลอเลิศปานใดก็ย่อมมีปัญหา ทั้งจากตัวกฎหมายเองและผู้รักษากฎหมาย มันย่อมส่งผลให้สังคมไม่มีสันติสุข
ประเทศใดยิ่งมีปัญหามากขึ้นเท่าใด ก็ยิ่งสร้างกฎหมายออกมาบังคับควบคุมพลเมืองมากขึ้นเท่านั้น ปัญหาที่เกิดจากตัวกฎหมายและผู้รักษากฎหมายก็มากตามขึ้นด้วย กลายเป็นงูกินหาง เมื่อกินมากเข้าก็จะกินตัวมันเอง
ดังนั้น ประเทศที่มุ่งหมายจะให้กฎหมายศักดิ์สิทธิ์ตามหลักการของมันหรือเจตนารมณ์ของรัฐก็จะต้องมี “ตัวช่วย” อย่างอื่นด้วย
ตัวช่วยที่ทรงพลังที่สุดก็คือ “วัฒนธรรม” ที่ประกอบด้วย จารีต ขนบธรรมเนียม ประเพณี ค่านิยมศาสนาและความเชื่อต่างๆ สิ่งเหล่านี้จะช่วยยึดโยงผู้คนในสังคมไว้ด้วยกัน เพราะยึดถือวัฒนธรรมเดียวกัน จึงร่วมมือและปฏิบัติตามวัฒนธรรมร่วมกัน ขณะเดียวกันพวกเขาก็ย่อมตระหนักถึงคุณค่าของวัฒนธรรมอื่นด้วย จึงเป็นการอยู่ร่วมกันของผู้คนหลากหลายวัฒนธรรมในประเทศเดียวกัน มันงดงามเช่นเดียวกับไม้ดอกนานาพันธุ์หลากสีสันที่ชูดอกอยู่ร่วมกัน
ประเทศที่มีอายุมายาวนานจะสั่งสมวัฒนธรรมและศิลปะไว้มาก เป็นมรดกทางวัฒนธรรม มันบ่งบอกถึงภูมิปัญญาของบรรพชนในประเทศนั้นๆ ส่วนประเทศเกิดใหม่นั้นจะมีวัฒนธรรมและศิลปะน้อย ยกเว้นประเทศนั้นมีชุมชนเก่าแก่อยู่ก่อนแล้ว ประเทศใหม่นี้จึงต้องสร้างวัฒนธรรมและศิลปะตามยุคสมัยของพวกเขา หรือไม่ก็เลียนแบบ หรือเก็บสะสมวัฒนธรรมและศิลปะของประเทศอื่นไว้ในพิพิธภัณฑ์ของตน
เพื่อแสดงออกถึงความเป็นอารยะ!
แต่น่าเสียดายว่าทันทีที่ลัทธิคอมมิวนิสต์เผยแพร่สู่โลก ผู้คนที่เชื่อมั่นลัทธินี้ก็ทำตามคำเสี้ยมสอนให้ทำลายวัฒนธรรมและศิลปะของประเทศของตนให้หมด เพราะมันเป็น “ซากเดนของระบอบเก่า” ซึ่งบางประเทศอาจจะเป็นเผด็จการ เป็นประชาธิปไตยแบบทุนนิยม เป็นราชานิยม หรือระบอบ-ลัทธิอื่นๆ ระบอบดังกล่าวนี้ล้วนเป็นปัญหาต่อการปฏิวัติและการสถาปนาการปกครองระบอบสังคมนิยม(คอมมิวนิสต์)
ประเทศไทยก็เผชิญกับปัญหาดังกล่าวจากพวกคอมมิวนิสต์เช่นกัน นับตั้งแต่คณะราษฎร(บางส่วน) มาจนถึงปัจจุบัน บางช่วงรุนแรง บางช่วงอ่อนแรง แต่มันก็ยังคงอยู่คุกคามประเทศไทยเรื่อยมามันมากำเริบรุนแรงในช่วงเสื้อแดงเรืองอำนาจและแรงขึ้นอีกในยุคเสื้อส้มจนถึงปัจจุบัน
เยาวชนและคนหนุ่มสาวยุคนี้จำนวนมาก รวมทั้งพวกวัยใกล้เมรุด้วย ถูกปั่นหัวจนกลายเป็นพวกนิยมความรุนแรง แบบเดียวกับพวก “เรดการ์ด”ของจีนในยุค “ปฏิวัติวัฒนธรรม” พวกเขาเห็นจารีตขนบธรรมเนียม ประเพณีใด ก็ขัดตาขัดใจจนต้องหาเรื่องด้อยค่า-ทำลายให้เสื่อมสิ้น โดยมีพวกครูอาจารย์และนักการเมืองคอยเสี้ยมสอนยุส่งเมื่อพวกเขาทำผิดกฎหมาย-ผิดวัฒนธรรมที่คนส่วนใหญ่ยึดมั่นแล้วโดนประณาม ครู-อาจารย์และนักการเมืองพวกนี้ก็จะออกมาแก้ตัวแก้ต่างให้
พวกครู-อาจารย์และนักการเมืองก็ถูกเสี้ยมสอนให้เชื่อเชื่องและยึดมั่นถือมั่นกับลัทธิคอมมิวนิสต์มาก่อน พวกเขาจึงมีเป้าหมายอยู่แล้วที่จะเปลี่ยนระบอบการปกครองประเทศนี้ให้เป็น “รัฐสวัสดิการ” อันเป็น “รัฐสังคมนิยม” ที่ถูกแปรรูปแล้ว และคงมีเป้าหมายในระยะต่อไปก็คือรัฐสังคมนิยม แต่ไม่ว่าจะเป็นรัฐแบบใด เป้าหมายแรกสุดของพวกเขาก็คือประเทศนี้ต้องไม่มีสถาบันกษัตริย์
เมื่อประเทศนี้ไม่มีสถาบันกษัตริย์ก็ย่อมไม่มีวัฒนธรรมและศิลปะด้วย มันจะถูกด้อยค่า-ถูกทำลายให้เสื่อมสิ้นไป โดยเฉพาะจารีต ขนบธรรมเนียม ประเพณีและศิลปะที่เกี่ยวกับสถาบันกษัตริย์กับสถาบันศาสนา(พุทธ)
เมื่อประเทศนี้สูญสิ้นวัฒนธรรม สังคมไทยก็จะขาดสิ่งที่ยึดโยงผู้คนไว้ด้วยกัน กฎหมายจะถูกสร้างขึ้นมาบังคับใช้มากขึ้นตามระบอบใหม่ ซึ่งตัวบทกฎหมายจะแตกต่างจากระบอบเดิม เพื่อให้กฎหมายนั้นรับใช้ระบอบใหม่(รัฐสวัสดิการ-รัฐสังคมนิยม)
ประเทศใดที่มีแต่กฎหมายอย่างเดียว ไม่มีวัฒนธรรม ประเทศนั้นก็จะเหมือนคนป่วยเป็นโรคขาดสารอาหาร ผอมแห้ง อ่อนแรงและอ่อนล้า ว้าเหว่และเคร่งเครียด และความวุ่นวายจะเกิดตามมา กฎหมายก็จะถูกสร้างให้ลงโทษรุนแรงมากขึ้น เช่นเดียวกับประเทศที่ปกครองด้วยกฎหมายอย่างเดียวอื่นๆ
วัฒนธรรมนั้นมีพลังยิ่งกว่ากฎหมาย มันสร้างสรรค์คนและสังคม ยึดโยงคนให้รักสามัคคีกัน ดูแลกัน มันจึงทำหน้าที่ปกป้องดูแลคนไม่ให้ทำผิดกฎหมายอีกด้วย
เมื่อวัฒนธรรมสูญสิ้น...ประเทศชาติย่อมไม่มีสันติสุข ไม่ยกเว้นประเทศใดทั้งนั้น
วิมล ไทรนิ่มนวล
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี