ภาพยนตร์นั้นเป็นศิลปะสาขาหนึ่งและก็เป็นซอฟต์พาวเวอร์ด้วย แต่จะเป็นศิลปะและซอฟต์พาวเวอร์มากน้อยแค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับภาพยนตร์แต่ละเรื่อง แต่ “รุ่งอรุณแห่งการปฏิวัติ” เป็นมากกว่านั้น มันเป็น “อาวุธด้านวัฒนธรรม” และเป็นอาวุธที่ทรงพลานุภาพอย่างมากในการแจ้งข่าวสารที่เป็นจริง
(ดังนั้น นิยามตามอรรถหรือสาระของคำว่า “ซอฟต์พาวเวอร์” ก็คือ พลังของวัฒนธรรมที่เป็นศิลปะ)
เมื่อภาพยนตร์เรื่องนี้ออกเผยแพร่และประสบความสำเร็จอย่างมหาศาลนั้น ก็ได้ส่งพลังของมันไปถึงคนที่ไม่รู้เรื่อง “การปฏิวัติ 2475” หรือรู้ครึ่งๆ กลางๆ หรือรู้มาอย่างผิดๆ ก็ได้เข้าใจมากขึ้นว่า “อะไรเป็นอะไร” ซึ่งจะส่งผลให้เขาเชื่อไปทางใดทางหนึ่ง ท่ามกลาง “สงครามระบอบ” ที่ดำเนินมานับแต่การปฏิวัติ 2475 จนถึงปัจจุบัน
ส่วนคนที่เชื่อฝังหัวตัวเองว่าคณะราษฎรได้ทำสิ่งที่ถูกต้องแล้วก็ร้อนรนทนไม่ได้เหมือนโดนไฟเผา จึงต้องออกมาดิ้นทุรนทุราย ทั้งต่อพวกเดียวกันเองและต่อสาธารณะ
คนแรกๆ ที่ออกมาดิ้นในพวกเดียวกันเองก็คือลูกสาวของดร.ปรีดี พนมยงค์ คือคุณสุดาและดุษฎี ทั้ง 2 คนตราหน้าคนที่ทำภาพยนตร์เรื่องรุ่งอรุณแห่งการปฏิวัติว่า “บิดเบือนประวัติศาสตร์ เพื่อยั่วยุให้เกิดกระแสด้านลบต่อฝ่ายธรรมะ” ทั้ง 2 คนได้สถาปนาฝ่ายดร.ปรีดีและคณะราษฎรว่าเป็น “ฝ่ายธรรมะ” ส่วนฝ่ายตรงข้ามเป็น “ฝ่ายอธรรม”
พวกนักการเมืองเรียกพฤติกรรมอย่างนี้ว่า “เอาดีใส่ตัว เอาชั่วใส่คนอื่น”
ซึ่งผิดวิสัยของฝ่ายธรรมะราวกับโลกได้บัญญัติศีลธรรมแบบใหม่!
ล่าสุด...“อาจารย์ ส.” หรืออาจารย์ สุลักษณ์ ศิวรักษ์ ก็ออกมาดิ้นและพ่นพิษใส่คนทำภาพยนตร์เรื่องดังกล่าวว่า “บิดเบือนหลอกลวง เนื้อหา เล่าเรื่องไม่ครบ เอาความชั่วใส่ให้ดร.ปรีดีและคณะราษฎร และเอาความดีให้ในหลวงรัชกาลที่ 7” แต่กลับไม่ยกเอกสารหรือหลักฐานอะไรสักอย่างมาประกอบความเห็นของตน
มีเพียงแต่ถ้อยคำที่ด้อยค่าคนทำภาพยนตร์ และในหลวงรัชกาลที่ 7 ด้วยอภิอัตตาของตน
น่าอัศจรรย์มากกับความเป็น “ปัญญาชนสยาม”!
“สุชาติ สวัสดิ์ศรี” ก็ออกมาพูดเท่ในเฟซบุ๊กของตนว่า “ยกเลิกมาตรา 112 สิ จะพูดความจริงให้ฟัง”
นอกจากนี้ ก็ยังมีปัญญาชนคนดังอีกหลายคนที่ออกมาพูดให้ร้ายหนังเรื่องดังกล่าว โดยไม่ต้องมีข้อมูลหลักฐานอะไรทั้งนั้น!
บุคคลที่ผมยกตัวอย่างมาข้างต้นนั้นล้วนแล้วแต่เป็น “ผู้อาวุโส” มีความรู้ มีชื่อเสียง มีสถานะทางสังคม ยังออกมาดิ้นและด้อยค่าหนังเรื่องนี้อย่างมีอคติ แล้วนับประสาอะไรกับเยาวชนและคนหนุ่มสาวอีกจำนวนมากจะไม่เชื่อและไม่เอาอย่าง
ส่วนคนที่ใส่ร้ายป้ายสี - ก่นประณามพระมหากษัตริย์อยู่ก่อนแล้วก็ยิ่งได้ใจ และไม่สนใจอีกต่อไปว่า “ความจริงของการปฏิวัติ 2475” นั้นเป็นอย่างไร เพราะเขามีเป้าหมายอยู่แล้ว
คือกำจัดสถาบันพระมหากษัตริย์ออกไปจากประเทศไทย
พวกเขาต้องการให้ประเทศไทยเป็น “สาธารณรัฐ” ไม่ใช่ “ราชอาณาจักร” อย่างที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน
พวกเขาจึงยอมรับความจริงไม่ได้! เพราะเข้าใจว่าถ้ายอมรับความจริงแล้วฝ่ายตนจะพ่ายแพ้
สำหรับผมเห็นว่าการไม่ยอมรับความจริงต่างหากคือความพ่ายแพ้ตั้งแต่แรก
เพราะ “ความจริง” นั้นคืออาวุธที่ทรงพลานุภาพที่สุด มันเป็นซอฟต์พาวเวอร์ที่สำคัญยิ่งกว่าซอฟต์พาวเวอร์ใดๆ มันไม่สร้างเรื่องหลอกตัวเองหลอกมากเข้าก็หลงเชื่อเรื่องหลอกนั้นเสียเอง เมื่อหลงเชื่อเรื่องหลอกเสียแล้ว...สติปัญญาก็จะวิปลาส
เมื่อสติปัญญาวิปลาสก็ไม่มีอาวุธที่ทรงพลานุภาพที่จะสู้กับฝ่ายตรงข้าม ได้แต่สู้ด้วยการหลอกลวง โกหกมดเท็จ ใส่ร้ายป้ายสีตลอดไป แต่ไม่นานความจริงก็ย่อมปรากฏ อย่างที่มันปรากฏตำตามาเกือบ 100 ปีแล้ว ทั้งในหนังสือ ในเอกสารชั้นต้นและชั้นรองต่างๆ ในยูทูบ ล่าสุดก็ในหนังเรื่องรุ่งอรุณแห่งการปฏิวัติ
ไม่มีใครปิดฟ้าด้วยฝ่ามือได้ นอกจากเอามือปิดตาตัวเองเพื่อไม่ให้เห็นฟ้า แล้วคิดว่าปิดฟ้าได้แล้ว!
เรื่องการปฏิวัติ 2475 นั้นเป็นประวัติศาสตร์มีข้อมูลและหลักฐานเพียงพอที่จะรู้ว่า “ความจริงหลัก”เป็นอย่างไร จึงไม่จำเป็นต้องสู้ด้วยการปิดฟ้าด้วยฝ่ามือ สร้างเรื่องเท็จเพื่อปกปิดความผิดพลาดของฝ่ายตน และการใส่ร้ายผู้อื่น การยอมรับความจริงต่างหากที่จะยิ่งทำให้การต่อสู้นั้นชัดเจนและเกิดประโยชน์แก่สังคม ทำให้สังคมได้มีรากฐานของเหตุผลและเป็นแบบอย่างการต่อสู้ของคนรุ่นต่อๆ ไป
มันยากตรงไหนที่ยอมรับความจริงแล้วต่อสู้ไปตามวิถีของฝ่ายตน?
เหตุที่มันยากก็เพราะไม่ยกประวัติศาสตร์เป็นบทเรียน แต่ยกมันมาเป็น “เครื่องมือ” สำหรับต่อสู้ในปัจจุบัน เมื่อการต่อสู้ในประวัติศาสตร์ผิดมันก็ย่อมส่งผลให้การต่อสู้ในปัจจุบันผิดตามด้วย หรือมันถูกก็ไม่ได้ส่งผลแพ้-ชนะต่อการต่อสู้ในปัจจุบันมากนัก มันเป็นได้แค่บทเรียนและการอ้างอิง
ประเทศนี้เปิดให้ทุกคนมีสิทธิเสรีภาพตามกฎหมาย แต่ก็ยังมีคนจำนวนมากออกมาประกาศว่าประเทศนี้ “กดขี่ ปิดกั้น กดทับสิทธิและเสรีภาพ” ของตน
แต่ผมกลับเห็นว่าสิ่งที่กดขี่ - ปิดกั้น - กดทับเสรีภาพของคนพวกนี้ก็คือ “อคติ” และ “ความโง่เขลา” ของเขาเอง
เมื่อต่อสู้ด้วยอคติและความโง่เขลาจึงยากยิ่งที่จะชนะ แม้ชนะก็พังทลายได้ง่ายมาก เพราะมันไม่มีรากฐานของความจริงรองรับ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี