แบงก์ชาติหรือธนาคารแห่งประเทศไทย ไม่มีผลประโยชน์เกี่ยวข้องกับเงิน 5 แสนล้านบาท ที่รัฐบาลโดยพรรคเพื่อไทยจะปล้น ธ.ก.ส. จำนวน 1.72 แสนล้านบาทและเบียดบังงบประมาณรายจ่ายของแผ่นดินปี 2567 จำนวน 1.75 แสนล้านบาท รวมทั้งงบประมาณปี 2568 อีกจำนวน 1.52 แสนล้านบาท มาแจก
ธนาคารแห่งประเทศไทยนั้น เป็นหน่วยงานของรัฐที่ไม่เป็นส่วนราชการ หรือรัฐวิสาหกิจ ซึ่งมีหน้าที่หลักในการบริหารจัดการให้ระบบเศรษฐกิจและการเงินของประเทศดำเนินไปด้วยความเรียบร้อย โดยเฉพาะมีบทบาทที่จะช่วยสนับสนุนให้เศรษฐกิจของประเทศเติบโตได้อย่างมีเสถียรภาพและยั่งยืน
ด้วยเหตุนี้จึงตัดปัญหาไปได้ว่าแบงก์ชาติจะมีผลประโยชน์กับโครงการนี้ จะมีก็อย่างเดียวเท่านั้น คือผลประโยชน์ของประเทศชาติเป็นที่ตั้ง
ความเห็นที่ ดร.เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ทำหนังสือลงวันที่ 22 เมษายน 2567 เพื่อเสนอเป็นความเห็นประกอบการพิจารณาในคณะรัฐมนตรี ก่อนหน้าที่คณะรัฐมนตรีจะมีมติเห็นชอบรับหลักการโครงการ“ดิจิทัล วอลเล็ต”ในวันรุ่งขึ้น มีเนื้อหาบ่งบอกชัดเจนถึงผลลบของโครงการนี้ โดยสรุปก็คือ
ประการแรก โครงการเติมเงินดิจิทัล วอลเล็ต 1 หมื่นบาท จะก่อให้เกิดภาระทางการคลังจำนวนมากในระยะยาวและหากไม่สามารถรักษาเสถียรภาพภาระหนี้ภาครัฐได้ จะเพิ่มความเสี่ยงที่ประเทศไทยจะถูกปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือซึ่งหากไทยถูกปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือ จะทำให้ต้นทุนการกู้ยืมภาครัฐและภาคเอกชนปรับเพิ่มขึ้น รวมถึงอาจกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนในภาพรวม
ประการที่สอง การดำเนินโครงการเติมเงินดิจิทัลวอลเล็ต 1 หมื่นบาท ที่ใช้วงเงินงบประมาณสูงถึง 5 แสนล้านบาท จะทำให้ความสามารถในการดำเนินนโยบายการคลังอื่นของรัฐบาลลดลง และมีความเสี่ยงที่จะมีงบประมาณ ไม่เพียงพอรองรับในภาวะฉุกเฉิน ซึ่งแบงก์ชาติเห็นว่า การเพิ่มวงเงินกู้ปีงบประมาณ 2568 จนเกือบเต็มกรอบที่กฎหมายกำหนด (วงเงินกู้ปี 2568 จำนวน 7.13 แสนล้านบาท)ทำให้เหลือวงเงินกู้ได้เพียงแค่ประมาณ 5 พันล้านบาทเท่านั้น เมื่อเทียบกับวงเงินคงเหลือเฉลี่ยในปีก่อนๆ ที่มากกว่า 1 แสนล้านบาท
และนอกจากนั้น การจัดสรรวงเงินจากงบประมาณปี 2567 ที่จะนำมาใช้ในโครงการนี้ จะทำให้งบกลางสำรองจ่ายกรณีฉุกเฉินหรือกรณีจำเป็นลดลง จนอาจไม่เพียงพอรองรับกรณีฉุกเฉิน โดยเฉพาะภายใต้สถานการณ์การเมืองโลกที่มีความไม่แน่นอนสูง และภาวะภัยธรรมชาติที่มีความรุนแรงมากขึ้น
ประการที่สาม ถือว่าเป็นข้อเสนอแนะของแบงก์ชาติ ที่เห็นว่าการดำเนินโครงการดิจิทัล วอลเล็ต ซึ่งอาจกระทบต่อเสถียรภาพทางการคลังของรัฐบาลดังที่กล่าวนั้น หากรัฐบาลดึงดันจะทำให้ได้ ก็ควรดำเนินการในขอบเขตที่ครอบคลุมเฉพาะกลุ่มเป้าหมายที่ต้องการความช่วยเหลือเท่านั้น เพื่อเป็นการแบ่งเบาภาระค่าครองชีพ, ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้อย่างมีประสิทธิผลคุ้มค่า และใช้งบประมาณลดลง
ทั้งนี้ กลุ่มเป้าหมายดังกล่าว แบงก์ชาติเน้นไปที่กลุ่มเปราะบางซึ่งรายได้ยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ เช่น กลุ่มผู้มีรายได้น้อยหรือผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 15 ล้านคน ในส่วนนี้สามารถดำเนินการได้ทันที โดยใช้งบประมาณเพียงแค่ 1.5 แสนล้านบาท
ประการสำคัญที่สุด แบงก์ชาติเห็นว่า รัฐบาลควรพิจารณาถึงความคุ้มค่าของการนำงบประมาณ 5 แสนล้านบาท ไปใช้ลงทุนในโครงการที่จะแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างและยกระดับศักยภาพทางเศรษฐกิจของประเทศในระยะยาว ดังต่อไปนี้
โครงการพัฒนาบุคลากรทางการแพทย์ (ใช้วงเงิน เฉลี่ย 3.8 ล้านบาทต่อตำแหน่ง) จะสามารถสร้างบุคลากรทางการแพทย์ได้กว่า 130,000 ตำแหน่ง, โครงการ เรียนฟรี 15 ปี สำหรับนักเรียนทั่วประเทศ (83,000 ล้านบาทต่อปี) จะสามารถสนับสนุนได้นานถึง 6 ปี, โครงการรถไฟทางคู่ช่วงนครปฐม - ชุมพร (40,000 ล้านบาทต่อสาย) จะพัฒนาได้กว่า 10 สาย และโครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน (190,000 ล้านบาทต่อสาย) จะพัฒนาได้กว่า 2 สาย เป็นต้น
น่าเสียดายและน่าเศร้าใจที่รัฐบาลไม่ฟังข้อเสนอแนะของแบงก์ชาติ กลับยืนกรานที่จะทำให้ได้ โดยคณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบกับโครงการนี้ พร้อมโชว์ภาพความเป็นเอกภาพของรัฐบาลผสมภายใต้การนำของพรรคเพื่อไทย ตามภาพที่ปรากฏหลังการประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 23 เมษายน ซึ่งนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ยืนแถลงข่าวโดยมีหัวหน้าพรรคการเมืองและเลขาธิการพรรคการเมืองที่เป็นรัฐบาลผสมยืนเรียงแถวเป็นพระอันดับ
ในเวลานี้จึงมีคำถามของผู้คนในสังคมว่า พรรคการเมืองอื่นที่ไปร่วมเป็นรัฐบาลผสมกับพรรคเพื่อไทยนั้น “พายเรือให้โจรนั่ง” หรือ “นั่งเรือที่โจรพาย”
สำคัญที่สุด เวลานี้ “ทักษิณ ชินวัตร” สามารถกระชับอำนาจได้อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด ซึ่งโครงการ“ดิจิทัล วอลเล็ต”นี้ ใครก็รู้ว่า“ทักษิณคิด-เพื่อไทยทำ” และจะต้องเอาให้ได้ แม้กระทั่งเรื่องการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่แบงก์ชาติไม่เล่นด้วยกับรัฐบาลพรรคเพื่อไทย โดยยังคงไว้ที่ 2.5 เปอร์เซ็นต์ ก็หันไปใช้วิธีบีบธนาคารพาณิชย์
ล่าสุดเมื่อวานนี้ (25 เมษายน) สมาคมธนาคารไทยได้แถลงว่า ที่ประชุมคณะกรรมการสมาคมธนาคารไทยได้มีมติเห็นชอบเมื่อวันที่ 24 เมษายนให้มีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลูกค้ารายย่อยชั้นดี (MRR) 0.25 เปอร์เซ็นต์ สำหรับลูกค้ากลุ่มเปราะบาง ทั้งลูกค้าบุคคล และ SME เป็นเวลา 6 เดือน ทั้งนี้เป็นผลมาจากที่นายเศรษฐา ทวีสิน ได้เชิญผู้บริหารของ 4 แบงก์ใหญ่ คือ ไทยพาณิชย์ กสิกรไทย กรุงไทย และธนาคารกรุงเทพ เข้าหารือที่ทำเนียบรัฐบาลเมื่อวันที่ 23 เมษายนที่ผ่านมา
และวันเดียวกับที่สมาคมธนาคารไทยแถลงเรื่องการปรับลดอัตราดอกเบี้ย ท่ามกลางข่าวการปรับคณะรัฐมนตรี“เศรษฐา 2”ที่ลงตัวแบบเรียบร้อย“บ้านจันทร์ส่องหล้า”นั้น
นายเศรษฐา ทวีสิน ผู้มีสถานภาพเป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศนี้ พร้อมนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ในฐานะผู้จัดการรัฐบาล ก็เข้ารายงานตัวพร้อมกินข้าวมื้อกลางวันกับนักโทษเด็ดขาดชายทักษิณ ชินวัตร ที่โรงแรม“โรสวูด กรุงเทพฯ” โรงแรมหรูระดับห้าดาวกลางเมืองหลวงละแวกถนนเพลินจิต ที่เคยเป็นข่าวก่อนหน้านี้ว่า เป็น“โรงพยาบาลทิพย์”อีกแห่งหนึ่งที่ทักษิณพำนักช่วงรักษาอาการป่วยวิกฤตบนชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ
สรุปแล้ว ใครเป็นพระเอกใครเป็นโจรนั้น คงแยกแยะได้ไม่ยาก เพราะคนที่มี“ศีลเสมอกัน”เท่านั้นถึงจะคบกันได้ !
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี