เมื่อวานวันที่ 24 มิถุนายน..เป็นวันครบรอบ 93 ปี..การเปลี่ยนแปลงการปกครองของไทย..จากจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์..มาเป็นระบอบราชาธิปไตยตามรัฐธรรมนูญ (Constitutional Monarchy)..หรือที่ทุกวันนี้เรียกกันว่า..เป็นระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
นับตั้งแต่วันเปลี่ยนแปลงการปกครองในวันที่ 24 มิถุนายน 2475..โดยคณะบุคคลที่เรียกตัวเองว่า“คณะราษฎร”..นำโดย พ.อ.พระยาพหลพลพยุหเสนา..ได้นำกำลังทหารและพลเรือนเข้ายึดอำนาจการปกครองแผ่นดิน..ในขณะที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7..เสด็จแปรพระราชฐานประทับอยู่ที่พระราชวังไกลกังวล..อำเภอหัวหิน..จังหวัดประจวบคีรีขันธ์
เมื่อคณะผู้ยึดอำนาจ..ซึ่งคนไทยจำนวนไม่น้อยเรียกว่า“คณะผู้ปล้นพระราชอำนาจ”ของพระมหากษัตริย์ไทย..ประกาศยึดอำนาจเรียบร้อยแล้ว..ก็ได้แต่งตั้ง“คณะผู้รักษาพระนครฝ่ายทหาร” 3 คน..คือ..พระยาพหลพลพยุหเสนา (พจน์ พหลโยธิน), พระยาทรงสรุเดช (เทพ พันธุมเสน) และพระยาฤทธิอัคเนย์ (สละ เอมะสิริ) โดยมีพระยาพหลพลหยุหเสนาเป็นหัวหน้าคณะฯ
ตามบันทึกของ“สถาบันพระปกเกล้า”..ซึ่งเรียบเรียงโดย..ศาสตราจารย์พิเศษ นรนิติ เศรษฐบุตร..อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์..ที่ปัจจุบันเป็นคอลัมน์นิสต์ประจำ..เขียนบทความลง“หนังสือพิมพ์แนวหน้า" และ“แนวหน้าออนไลน์”..ในคอลัมน์“เรื่องเล่าจากสภา”ทุกวันพฤหัสบดี-บันทึกไว้ว่า
“เมื่อ (คณะผู้รักษาการพระนครฝ่ายทหาร) สามารถระดมกำลังทหารมาชุมนุมที่ลานพระบรมรูปทรงม้าได้เป็นจำนวนมาก..จากหลายกองพันในกรุงเทพฯ..ประกาศแถลงการณ์ของคณะราษฎร..ถึงเหตุและความตั้งใจในการเปลี่ยนแปลงการปกครอง..ตลอดจนกุมตัวพระบรมวงศานุวงศ์และนายทหารชั้นผู้ใหญ่ของรัฐบาลมาไว้ที่พระที่นั่งอนันตสมาคมแล้ว..คณะผู้รักษาพระนครฝ่ายทหารก็ได้มีหนังสือ..และส่ง น.ต.หลวงศุภชลาศัย..ไปยังพระราชวังไกลกังวล..กราบบังคมทูลอัญเชิญ..พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว..รัชกาลที่ 7 เสด็จกลับพระนคร”
โดยหนังสือที่“คณะผู้รักษาการพระนครฝ่ายทหาร”กราบบังคมทูลฯ..มีใจความสำคัญว่า..“คณะราษฎรไม่ประสงค์จะแย่งราชสมบัติแต่อย่างใด..ความประสงค์อันยิ่งใหญ่ก็เพื่อที่จะมีธรรมนูญการปกครองแผ่นดิน..จึงขอเชิญใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทกลับคืนสู่พระนคร..ทรงเป็นกษัตริย์ต่อไป..โดยอยู่ใต้ธรรมนูญการปกครองแผ่นดิน”
ในวันรุ่งขึ้น 25 มิถุนายน พ.ศ. 2475..พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว..ทรงมีพระราชหัตถเลขาถึงผู้รักษาพระนครฝ่ายทหาร..มีความตอนหนึ่งว่า
“...คณะทหารมีความปรารถนาจะเชิญให้ข้าพเจ้ากลับพระนคร..เป็นกษัตริย์อยู่ใต้พระธรรมนูญการปกครองแผ่นดิน..ข้าพเจ้าเห็นแก่ความสงบเรียบร้อยของอาณาประชาราษฎร์..ไม่อยากให้เสียเลือดเนื้อกัน..ทั้งเพื่อจัดการโดยละม่อมละมัย (ละไม)..ไม่ให้ขึ้นชื่อว่าได้จลาจลเสียหายแก่บ้านเมือง..และความจริงข้าพเจ้าได้คิดอยู่แล้วที่จะเปลี่ยนแปลงทำนองนี้..คือมีพระเจ้าแผ่นดินปกครองตามพระธรรมนูญ..จึงยอมรับที่จะช่วยเป็นตัวเชิด..เพื่อให้คุมโครงการตั้งรัฐบาล..ให้เป็นรูปวิธีเปลี่ยนแปลงตั้งพระธรรมนูญโดยสะดวก...”
และในคืนวันที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2475..นั้นเอง..ซึ่ง“ศาสตราจารย์พิเศษ นรนิติ เศรษฐบุตร”..ได้เขียนบรรยายไว้ว่า..“พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว..รัชกาลที่ 7..เสด็จกลับพระนครโดยรถไฟพระที่นั่ง..ที่ทางคณะผู้รักษาพระนครฝ่ายทหารส่งไปรับ..และในวันที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2475 ให้บุคคลสำคัญของคณะราษฎรเข้าเฝ้า..และพระองค์ได้ทรงลงพระปรมาธิปไธยพระราชกำหนดนิรโทษกรรมแก่คณะผู้ทำการเปลี่ยนแปลงการปกครองแผ่นดิน”
จากนั้นในวันที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2475..พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าอยู่หัว..ได้พระราชทานพระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว..ให้เป็นกติกาการปกครองบ้านเมืองเป็นการชั่วคราวไปก่อน
พระราชบัญญัติธรรมนูญการปกแผ่นดินสยามชั่วคราว..ฉบับวันที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2475..จึงนับเป็นรัฐธรรมนูญฉบับแรกของประเทศไทย..และฉบับปี พ.ศ.2560..“ฉบับปราบโกงนักการเมือง”..ที่ใช้ในปัจจุบัน..ซึ่งบรรดา สส.และนักการเมืองที่มาจากการเลือกตั้งโดยรัฐธรรมนูญฉบับนี้.. ที่คล้าย“สุนัขขี้เรื้อน”และมีแผลเหวอะหวะเต็มหลังกลัวจะถูกน้ำร้อนลวก..จึงกระเหี้ยนกระหือรือที่จะฉีกทิ้งและยกร่างฉบับใหม่ขึ้นมาให้ได้ในเวลานี้นั้น..นับเป็นรัฐธรรมนูญฉบับที่ 20 ของประเทศไทย
จะอย่างไรก็ตาม..ประเทศไทยมีรัฐธรรมนูญมา 20 ฉบับ..โดยยกร่างแล้วฉีกทิ้งวนเวียนอยู่เช่นนี้เป็นวงจรอุบาทว์..จนบัดนี้อีก 7 ปีก็จะครบ 100 ปี..หรือ“หนึ่งศตวรรษ”..แต่“ประชาธิปไตยไทย”ก็ยังไม่เดินหน้าไปถึงไหน..กลับมีสภาพไม่ต่างจากเด็กทารกอายุ 12-15 เดือน ..ที่เพิ่งเริ่มหัดเดิน..ยังล้มลุกคลุกคลานอยู่ตลอดเวลา
นั่นก็พราะ..ไม่เพียงแต่ประชาชนคนไทยส่วนใหญ่ยังขาดจิตสำนึกทางการเมือง...ในฐานะ“พลเมือง”ที่เห็นประโยชน์สาธารณะ..หรือประโยชน์ส่วนรวมเป็นสำคัญแล้ว..นักการเมืองส่วนใหญ่เอง..ก็ไร้สำนึกรับผิดชอบต่อบ้านเมืองอย่างแท้จริง
มิหนำซ้ำ..ยังกลับกลายเป็นว่า..นักการเมืองนั้น..ยิ่งเล่นการเมืองก็ยิ่งมีฐานะมั่งคั่งร่ำรวย..และพยายามทุกวิถีทางที่จะเป็นรัฐมนตรีและเป็นฝ่ายรัฐบาลให้ได้..เพื่อจุดประสงค์ที่จะใช้อำนาจแสวงหาผลประโยชน์..จากเงินงบประมาณแผ่นดินในโครงการต่างๆ ของรัฐ
ณ เวลานี้..ก็เห็นได้ชัดจากการดิ้นของพรรคเพื่อไทย..เหมือน“สุนัข”ที่กำลังใกล้จะตาย..จากการปรับคณะรัฐมนตรีเป็น“แพทองธาร 1/1”..เพียงเพื่อจะอยู่ในอำนาจต่อไปให้ได้..โดยสวนกระแสของประชาชนคนไทย..ที่เรียกร้องให้“แพทองธาร ชินวัตร”ลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี..และให้พรรคร่วมรัฐบาลถอนตัวออกจากรัฐบาล..เนื่องจากขาดความชอบธรรมกรณี“คลิปอัปยศ”..ที่ส่งผลให้“แพทองธาร”ต้องกลายเป็นผู้ต้องหาคดี“ขายชาติ”และเป็น“ไส้ศึก”ให้แก่เขมร..รวมทั้งยังถูก 36 สว.ยื่น ป.ป.ช.และศาลรัฐธรรมนูญ..ให้ถอดถอนอออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอีกด้วย
ไม่ว่าจะอะไรก็แล้วแต่ ..นับจากนี้ไปอีก 3 วัน..คือวันเสาร์ที่ 28 มิถุนายนสุดสัปดาห์นี้..ประชาชนเรือนแสนเรือนล้าน..นำโดย“กลุ่มพลังแผ่นดินปกป้องอธิปไตย”..จะออกไปชุมนุมประท้วงอย่าง“สันติ-อหิงสา”..ที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ..ตามมาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญปี 2560..ซึ่งได้บัญญัติไว้ว่า“บุคคลย่อมมีเสรีภาพในการชุมนุมโดยสงบและปราศจากอาวุธ”
การชุมนุมครั้งนี้จึงถือว่า..เป็นการแสดงออกซึ่งเจตจำนงอย่างเสรีของพลเมืองตามระบอบประชาธิปไตย..เพื่อให้“แพทองธาร ชินวัตร”และพรรคร่วมรัฐบาลรู้ว่า..ประชาชนส่วนใหญ่ในประเทศนี้..ไม่เอานายกรัฐมนตรีและรัฐบาลผสมชุดนี้
ขอส่งเสียงประสานไว้ในบรรทัดนี้ว่า..“แพทองธาร ชินวัตร”ต้องลาออก..และรัฐบาลผสมทุกพรรคต้องถอนตัวออกจากรัฐบาล-เดี๋ยวนี้ทันที !
รุ่งเรือง ปรีชากุล
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี