กรุงเทพฯ --- รัฐบาลไทยเดินหน้าสนับสนุนการเติบโตของเศรษฐกิจดิจิทัลเต็มรูปแบบ หลังคณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้ ยกเว้นภาษีกำไรจากการขายหรือแลกเปลี่ยนสินทรัพย์ดิจิทัล (Capital Gain Tax) สำหรับบุคคลธรรมดาเป็นระยะเวลา 5 ปี เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2025 ถึง 31 ธันวาคม 2029 โดยมีเงื่อนไขว่าต้องเป็นการซื้อขายผ่านศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลที่ได้รับอนุญาตจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.)
มาตรการดังกล่าวมีเป้าหมายเพื่อส่งเสริมความสามารถในการแข่งขันของตลาดทุนไทยในระดับโลก พร้อมเร่งให้เกิดการยอมรับและใช้งานเทคโนโลยีสินทรัพย์ดิจิทัลอย่างแพร่หลายมากขึ้นในประเทศ
โอกาสสำหรับนักลงทุนไทยและต่างชาติ
ก่อนหน้านี้ รายได้จากการขายคริปโตในประเทศไทยอยู่ภายใต้การเก็บภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาโดยต้องเสียภาษีในอัตราก้าวหน้าสูงสุดถึง 35% และมีการหักภาษี ณ ที่จ่าย 15% สำหรับบางกรณีมาตรการใหม่นี้จะช่วยให้ผู้ลงทุนได้รับผลตอบแทนเต็มจำนวน โดยไม่ต้องรับภาระภาษีในส่วนของกำไรจากการเทรด
การยกเว้นภาษีในครั้งนี้จึงคาดว่าจะเพิ่มแรงจูงใจให้กับนักลงทุนรายย่อยและนักลงทุนสถาบันทั้งในประเทศและต่างประเทศ รวมถึงผู้ถือ Thailand Privilege Card ที่มีแผนบริหารจัดการทรัพย์สินในประเทศไทย
โดยเฉพาะในช่วงที่แนวโน้มการโยกย้ายสินทรัพย์ดิจิทัลจากประเทศที่มีนโยบายเข้มงวดกำลังเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ความร่วมมือจากกรมสรรพากร : แรงหนุนสำคัญสู่มาตรการที่เป็นรูปธรรม
หนึ่งในกลไกสำคัญที่ทำให้มาตรการยกเว้นภาษีนี้เกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็วคือ การสนับสนุนจากกรมสรรพากรซึ่งทำงานร่วมกับกระทรวงการคลังและหน่วยงานกำกับดูแลเพื่อออกหลักเกณฑ์ที่ชัดเจนและโปร่งใสกรมสรรพากรได้แสดงท่าทีเชิงบวกต่อการพัฒนาตลาดสินทรัพย์ดิจิทัล
โดยระบุว่าการยกเว้นภาษีในครั้งนี้จะไม่เพียงช่วยกระตุ้นการลงทุนแต่ยังเอื้อต่อการสร้างฐานข้อมูลผู้เสียภาษีและส่งเสริมการใช้ระบบดิจิทัลในกระบวนการจัดเก็บภาษีในอนาคต
นอกจากนี้ กรมสรรพากรยังเตรียมปรับปรุง แบบฟอร์มการยื่นภาษีให้รองรับสินทรัพย์ดิจิทัลอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น รวมถึงจัดทำระบบ API สำหรับเชื่อมต่อข้อมูลกับแพลตฟอร์มที่ได้รับอนุญาตจาก ก.ล.ต. เพื่อให้การตรวจสอบข้อมูลเป็นไปโดยอัตโนมัติ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการวางโครงสร้างระบบภาษีในยุค Web3 ที่ทั้งโปร่งใส ยืดหยุ่น และสามารถกำกับดูแลได้จริง
ผลเชิงบวกต่อศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลในประเทศ
ภายใต้มาตรการนี้ การยกเว้นภาษีจะ ครอบคลุมเฉพาะการทำธุรกรรมผ่านศูนย์ซื้อขายที่อยู่ภายใต้การกำกับของก.ล.ต. เท่านั้น ทำให้แพลตฟอร์มที่มีใบอนุญาตจะได้รับความสนใจและปริมาณการซื้อขายที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ นอกจากช่วยส่งเสริมการปฏิบัติตามกฎหมายแล้ว ยังเป็นแรงผลักดันให้ผู้ประกอบการในประเทศเร่งพัฒนาเทคโนโลยี นวัตกรรม และบริการ
เพื่อดึงดูดผู้ใช้งานและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในตลาดโลก พร้อมกับเสริมสร้างความเชื่อมั่นต่อตลาดคริปโตของไทยในระดับสากล
มาตรการยกเว้นภาษีดังกล่าวเป็นเพียงหนึ่งในหลายแนวทางของรัฐบาลในการผลักดันประเทศไทยสู่การเป็นศูนย์กลางทางการเงินดิจิทัลของภูมิภาคอาเซียน " โดยยังมี
นโยบายและโครงการอื่นๆ ที่อยู่ระหว่างดำเนินการ เช่น :
● การทดสอบการชำระเงินด้วยคริปโตในภาคท่องเที่ยว: โครงการนำร่องในจังหวัดภูเก็ตช่วงต้นปี 2025 ซึ่งเปิดให้นักท่องเที่ยวสามารถใช้คริปโตจ่ายค่าโรงแรม ร้านอาหาร และบริการขนส่งบางแห่ง
● การพิจารณาอนุญาต Bitcoin ETF: ก.ล.ต. อยู่ระหว่างศึกษาความเหมาะสมในการเปิดให้มี Spot Bitcoin ETF สำหรับนักลงทุนรายย่อยซึ่งหากผ่านความเห็นชอบจะเป็นประเทศแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่อนุญาตในระดับนี้
● การปรับปรุงเกณฑ์การจดทะเบียนเหรียญคริปโต : เพื่อให้สอดคล้องกับมาตรฐานสากลและเปิดโอกาสให้เหรียญคุณภาพดีสามารถจดทะเบียนในประเทศได้ง่ายขึ้นภายใต้การควบคุมความเสี่ยงที่เหมาะสม
ส่งเสริมระบบนิเวศสินทรัพย์ดิจิทัลครบวงจร
ด้วยนโยบายที่สอดคล้องกันในระดับมหภาค การสนับสนุนจากกรมสรรพากร และการออกแบบกรอบกฎหมายที่ชัดเจนประเทศไทยมีศักยภาพในการกลายเป็นหนึ่งในประเทศที่คริปโตสามารถดำเนินการได้อย่างถูกต้อง โปร่งใสและยั่งยืน ในช่วงเวลาที่หลายประเทศกำลังเพิ่มความเข้มงวดในการกำกับดูแลสินทรัพย์ดิจิทัล ท่าทีของประเทศไทยในครั้งนี้จึงถือเป็น
จุดเปลี่ยนสำคัญ ที่ไม่เพียงแต่ช่วยส่งเสริมการลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลแต่ยังอาจ วางรากฐานสำคัญสำหรับเศรษฐกิจดิจิทัลไทยในระยะยาว
ดร.กร พูนศิริวงศ์
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี