เมื่อวานนี้เขียนไว้ว่า..เขมร“ขี่ไทย”ได้ก็เพราะมี“ไส้ศึก”..คลับคล้ายตอนกรุงศรีอยุธยาจะแตกครั้งสุดท้ายในปี 2310..ซึ่งนอกจากเหล่าเสนาอำมาตย์จะแบ่งฝักแบ่งฝ่ายขัดแย้งแย่งชิงอำนาจกันแล้ว..ที่เป็น“ไส้ศึก”ขายชาติให้แก่ศัตรูก็มี..จึงทำให้พม่าเข้าตีกรุงศรีอยุธยาและยึดได้ในที่สุด
ดังที่มีบันทึกในประวัติศาสตร์ว่า..ในวันอังคารขึ้น 9 ค่ำ..เดือนห้า..หรือวันที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2310..ทัพฝ่ายพม่าที่มี“เนเมียวสีหบดี”เป็นแม่ทัพใหญ่..ตีกรุงศรีอยุธยาแตก..แล้วก็สังหารชาวกรุงศรีอยุธยา..เผาทำลายปราสาทพระราชวัง..วัดวาอารามและบ้านเรือนของราษฎร..ปล้นทรัพย์สินเงินทอง..ก่อนจะกวาดต้อนชาวกรุงศรีอยุธยา..รวมทั้งเชื้อพระวงศ์ราชวงศ์บ้านพลูหลวง..เป็นเชลยกลับไปพม่าด้วย
เหตุการณ์กรุงศรีอยุธยาก่อนแตกนั้น..มีทั้งบันทึกทางประวัติศาสตร์..มีทั้งนวนิยาย..รวมทั้งละครและภาพยนตร์อิงประวัติศาสตร์..ให้คนไทยรุ่นหลังๆ..ได้รับรู้และซึมซับไว้เป็นอุทาหรณ์
“สุนทรภู่”บรมกวีไทยแห่งกรุงรัตนโกสินทร์..ได้เขียนบันทึกไว้ใน“นิราศพระบาท”..ประมาณปี 2350..จากการตามเสด็จพระองค์เจ้าปฐมวงศ์..พระโอรสในสมเด็จพระเจ้าหลานเธอ..เจ้าฟ้ากรมพระอนุรักษ์เทเวศร์ (หลานรัชกาลที่ 1)..ไปนมัสการพระพุทธบาท..ที่วัดพระพุทธบาทฯ..จังหวัดสระบุรี
ตอนแวะที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยาก่อนถึงจังหวัดสระบุรี..เมื่อสุนทรภู่ได้ไปเห็นสภาพบ้านเมือง..เห็นสภาพความพินาศย่อยยับของกรุงศรีอยุธยา..ที่เพิ่งผ่านมาเพียงชั่วอายุคน..เนื่องจากสุนทรภู่เกิดในสมัยรัชกาลที่ 1..เมื่อเห็นสภาพแล้ว สุนทรภู่คงเข้าใจได้ว่า..กรุงศรีอยุธยาแตกเพราะอะไร..ก็อย่างที่กล่าวไว้ในตอนต้น..ว่านอกจากเหล่าเสนาอำมาตย์จะแบ่งฝักแบ่งฝ่ายขัดแย้งแย่งชิงอำนาจกัน..และเป็นไส้ศึกให้แก่พม่าแล้ว..คนในชาติก็แตกแยกแตกความสามัคคีกันเองด้วย..ซึ่งต่อให้ประตูและกำแพงเมืองจะแน่นหนาแข็งแรงแค่ไหน..ข้าศึกก็สามารถเข้าตีและยึดเมืองได้สำเร็จ
มหากวีเอกของไทยนามว่า“สุนทรภู่”..ที่ได้รับการยกย่องว่าเป็น“เชกสเปียร์แห่งประเทศไทย”..และได้รับการเชิดชูเกียรติจาก“องค์การยูเนสโก”ให้เป็นบุคคลสำคัญของโลกทางด้านวรรณกรรม..เมื่อปี 2529..เขียนบันทึกเป็นคำกลอนไว้ในนิราศพระบาท-ว่าอย่างนี้
กำแพงรอบขอบคูก็ดูลึก
ไม่น่าศึกอ้ายพม่าจะมาได้
ยังให้มันข้ามเข้าเอาเวียงชัย
โอ้อย่างไรเหมือนบุรีไม่มีชาย ฯ
สถานการณ์ระหว่าง“ไทย-เขมร”ตอนนี้ก็เหมือนกัน..จะว่ามีสภาพไม่ต่างจากกรุงศรีอยุธยาตอนที่ใกล้จะเสียกรุงให้แก่พม่าก็ไม่ผิดนัก..คือ..ในขณะที่เขมรเปิดศึกมาประชิดถึงขนาดนี้..รัฐบาลก็ยังมัวแต่แก่งแย่งชิงอำนาจชิงกระทรวงกันให้วุ่นวายอุตลุด..และที่สำคัญยิ่งไปกว่านั้น..ก็เพราะความสัมพันธ์ระหว่าง“ตระกูลชินวัตร”ของไทย..กับ“ตระกูลฮุน”ของเขมร..หากจะเปรียบไปก็เหมือนกับเป็น“ไส้ศึก”อยู่ในที..จึงทำให้ประเทศไทยต้องตกอยู่ในสภาพเป็น“ลูกไล่”ของเขมร
ถ้าจะว่าไปแล้ว..เกิดสภาพ“อิหลักอิเหลื่อ”มาตั้งแต่ต้น..ทั้ง“แพทองโพย”นายกรัฐมนตรี..และ“ภูมิธรรม เวชยชัย”รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม..ที่อ่อนปวกเปียก..ไม่กล้าตัดสินใจและแสดงท่าทีที่ชัดเจนเรื่องดินแดนไทย..ซึ่งเขมรจะเอาให้ได้ในพื้นที่ 4 จุด..คือ..ปราสาทตาเมือนธม..ปราสาทตาเมือนโต๊ด..และปราสาทตาควาย..ที่จังหวัดสุรินทร์..และอีก 1 พื้นที่บริเวณมอมเบย (สามเหลี่ยมมรกต)..จังหวัดอุบลราชธานี..และจนถึงวันนี้เขมรก็ได้ยื่นฟ้องศาลโลกเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
การประชุม JBC (คณะกรรมการเขตแดนร่วม)..ระหว่างไทย-เขมร..ที่กรุงพนมเปญ..ซึ่งจบไปเมื่อวันที่ 15 มิถุนายนที่ผ่านมานั้น..โดยภาพรวมก็คว้าน้ำเหลว..และฝ่ายไทยก็ยังอ้ำๆ..อึ้ง ๆ..เหมือนเดิม..ขณะที่สำนักรัฐมนตรีรับผิดชอบกิจการชายแดนของเขมร..ได้ออกแถลงการณ์ชิงตัดหน้าแถลงป่าวประกาศไปทั้งโลกก่อนไทยว่า..พื้นที่ทั้ง 4 แห่งที่เขมรจะเอาให้ได้นั้น..จะไม่เป็นหัวข้อในการหารือภายใต้กรอบ JBC อีกต่อไป
สำคัญที่สุด..ทางฝ่ายเขมรยังแถลงด้วยว่า..จะยึด“MOU 43”..ที่ไทยกับเขมรลงนามเป็นบันทึกความเข้าใจเมื่อปี 2543..สมัยรัฐบาลนายชวน หลีกภัย ..ว่าทั้งสองฝ่ายตกลงที่จะใช้แผนที่มาตราส่วน 1 : 200,000..ตามเจตนารมณ์ของอนุสัญญาฝรั่งเศส-สยามปี 1904..และสนธิสัญญาฝรั่งเศส-สยามปี 1907..เพื่อดำเนินการปักปันเขตแดนและงานปักปันเขตแดน..พร้อมทั้งยังปฏิเสธที่จะยอมรับแผนที่ที่ฝ่ายไทยยึด..โดยบอกว่า“ไทยได้วาดขึ้นโดยฝ่ายเดียว”
แค่นี้ก็“เสร็จเขมร”..แม้กระทรวงการต่างประเทศของไทย..จะแถลงแก้ข่าวในตอนค่ำเมื่อวันที่ 15 มิถุนายน..โดยแสดงความผิดหวังต่อท่าทีของเขมรและปฏิเสธว่าไม่มีประเด็นการเจรจาเรื่องแผนที่มาตราส่วน 1 : 200,000..ก็ตาม..แต่เขมรก็ได้ชิงแถลงด้วยความเจ้าเล่ห์ไปก่อนแล้ว..จาการอ้างอิง“MOU 43”..และปัญหานี้ก็อย่าได้หวังว่า..รัฐบาลที่มี“แพทองโพย”เป็นนายกรัฐมนตรี..จะไปกล้าทุบโต๊ะกับเขมรสองพ่อลูก..ที่“ตระกูลชินวัตร”มีผลประโยชน์ทับซ้อน..ด้วยการประกาศว่า..รัฐบาลไทยขอยกเลิก“MOU 43”
เพราะแผนที่มาตราส่วน 1 : 200,000..ที่เป็นบันทึกข้อตกลงใน“MOU 43”..เป็นแผนที่ที่ไม่ยึดแนวเขตสันปันน้ำตามธรรมชาติที่แท้จริง..และมีความคลาดเคลื่อนได้ถึง 200 เมตร..อันจะทำให้ไทยเสียดินแดนแก่เขมรในที่สุด..เช่นเดียวกับที่ไทยเสียปราสาทพระวิหารมาแล้วในปี 2505..จากการใช้แผนที่นี้ที่จัดทำขึ้นโดยฝรั่งเศส..ซึ่งเขตแดนทางบกระหว่างไทยและกัมพูชามีความยาวทั้งสิ้น 798 กิโลเมตร..ลองคิดดูก็แล้วกันว่าถ้าใช้แผนที่ฉบับนี้เจรจาตกลงกัน..ไทยจะต้องเสียดินแดนให้แก่เขมรมากน้อยแค่ไหน
สรุปก็คือ..การประชุม JBC ครั้งนี้..เขมรไม่ยอมรับแผนที่ 1 : 50,000 ของไทย..ที่มีความละเอียดมากกว่าและจัดทำด้วยเทคนิคที่แตกต่างกัน..และถึงแม้จะมีการประชุม JBC สมัยพิเศษครั้งต่อไปที่กรุงเทพฯในเดือนกันยายนนี้..ที่ฝ่ายไทยเป็นเจ้าภาพอีกก็ตาม..ก็ยังมองไม่เห็นว่า..จะได้อะไรจากการประชุมที่จะนำไปสู่ข้อยุติในประเด็นปัญหาเรื่องดินแดน..ที่เขมรนำเรื่องโดยอ้างว่าเป็น“ข้อพิพาทเขตแดน” 4 จุด..เข้าสู่การพิจารณาของศาลโลกไปแล้ว
ด้วยหตุที่ว่า..เขมรประกาศชัดเจนแล้วว่า..คุยกับไทยได้ทุกเรื่อง..ยกเว้นคุยเรื่องปราสาทตาเมือนธม..ปราสาทตาเมือนโต๊ด..ปราสาทตาควาย..และสามเหลี่ยมมรกต..ที่เขมรจะไม่ขอคุยด้วย..ต้องไปคุยกันที่ศาลโลกเท่านั้น..รวมทั้งแผนที่ก็ต้องมาตราส่วน 1 : 200,000..เท่านั้นด้วยเช่นกัน
เมื่อคิดดูแล้ว..ทางเดียวที่ไทยจะเอาชนะเขมรและกำราบได้..โดยไม่ตกอยู่ในสภาพเป็น“ลูกไล่”ของเขมร..อีกทั้งยังคล้ายกับประเทศไทยเป็นเมืองขึ้นของเขมรอีกด้วย..นั่นก็คือ..รัฐบาลที่จะบริหารประเทศ..ต้องไม่ใช่รัฐบาลที่มีพรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำ..และนายกรัฐมนตรีต้องไม่ใช่“แพทองธาร ชินวัตร”..ที่ไร้สติปัญญาและถูกบิดาชักใยเช่นทุกวันนี้
หาไม่เช่นนั้น เขมรก็ยัง“พยศ”ไม่เลิก..ซึ่งล่าสุดเมื่อวันที่ 16 มิถุนายนเมื่อวานนี้..“ฮุน เซน”เพื่อนชั่วร้ายของ“ทักษิณ ชินวัตร”..ก็ยังออกมาประกาศข่มขู่ว่า ..หากไทยไม่เปิดด่านชายแดน“ไทย-เขมร”ตามกำหนดการปกติ..เขมรจะใช้มาตรการตอบโต้ขั้นสุดท้าย..ด้วยการปิดชายแดนทั้งหมด..พร้อมทั้งแบนหรือคว่ำบาตรสินค้าจากไทย..โดยเริ่มจากการห้ามนำเข้าผลไม้และผัก..หลังจากแบนหนังแบนละครไทยห้ามฉายในเขมรมาแล้ว
ลาออกเถอะ“แพทองธาร ชินวัตร”..ก่อนที่จะสายเกินแก้..กลับไปอยู่บ้านเล่นกับลูกกับสามีคนใต้..ทรัพย์สินเงินทองก็มีมากมายมหาศาล..อยู่กินอย่างฟุ่มเฟือย..และแต่งตัวด้วยชุดหรูราคาแพงแบรนด์ต่างประเทศ..โดยไม่ซ้ำวันไปอีกสิบชาติก็ไม่หมด
อย่ารอให้ถึงวันที่คนไทยอดรนทนไม่ไหว..ต้องลุกขึ้นมาขับไล่..ซึ่งจะทำให้จบแบบไม่มีแผ่นดินอยู่..และอาจจะต้องหนีหัวซุกหัวซุนทั้ง“ตระกูลชินวัตร”ก็เป็นได้ !
รุ่งเรือง ปรีชากุล
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี