สัปดาห์ที่ผ่านไปเป็นสัปดาห์แห่งความโกลาหลอลหม่านทางการเมืองโดยแท้ ทั้งการเมืองนอกและในประเทศ
เริ่มจากวันที่คนไม่น้อยรอคอยอย่างกระหายใคร่รู้ นั่นคือการยืนยันมติของแพทยสภาในกรณีกำหนดโทษทางวิชาชีพต่อหมอ 3 คน ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการส่งนักโทษชาย ทักษิณ
ชินวัตร ไปเสวยสุขที่ชั้น 14 ของโรงพยาบาลตำรวจ
ผมได้อ่านเอกสารเป็นลายลักษณ์อักษรที่เผยแพร่ตามสื่อต่างๆ ตามที่ สมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.สาธารณสุข ในฐานะสภานายกพิเศษส่งเพื่อวีโต้มติของแพทยสภา และยังเดินทางไปด้วยตัวเองเพื่อขอพูด15 นาที คงจะเป็นประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของประเทศ เพราะเท่าที่ย้อนไปดูข้อมูลในอดีต ไม่เคยมีสภานายกพิเศษคนไหนทำมาก่อน
เอกสารชี้แจงเพื่อวีโต้ของรัฐมนตรี ทำให้ผมรู้สึกว่า คำให้สัมภาษณ์ตอนหนึ่งของ ศ.ดร.นพ.ประสิทธิ์ วัฒนาภา อุปนายกแพทยสภา เป็นจริงตามนั้น จากคำสัมภาษณ์ของคุณหมอที่ว่า “...มีบางกลุ่มที่ใช้กลไกบางอย่าง พยายามจะทำให้กรรมการแพทยสภาไม่ได้ทำในสิ่งที่ถูกต้อง หรือขัดกับจรรยาบรรณแห่งวิชาชีพ ให้เราทำในสิ่งที่เราไม่ต้องการทำ นั่นถึงจะเรียกว่ากดดัน หรือในบางกรณีเข้าเกณฑ์ของข่มขู่ด้วยซ้ำ”
ยิ่งกว่านั้น ผมยังนึกถึงตัวเองและเพื่อนพ้องร่วมอาชีพเขียนหนังสือว่า พวกเราโชคดีมากที่ รัฐมนตรีสมศักดิ์ เลือกอาชีพการเมืองเพราะสำบัดสำนวนครบเครื่องขนาดนี้ ถ้าเลือกอาชีพนักเขียนแต่แรก อาจไปถึงซีไรท์ และพวกเราหลายคนก็จะตกงาน
เรื่องต่อมาก็เกี่ยวพันกับเรื่องแรก คือศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พิจารณาประเด็นว่านักโทษชาย ทักษิณ ได้ติดคุกไปแล้วหรือยัง ซึ่งศาลได้กำหนดวันไต่สวนอีกหลายครั้งไปจนถึงเดือนกรกฎาคมแล้ว
แสดงว่าศาลให้โอกาสทุกฝ่ายได้เข้ามาให้ไต่สวน ซักถาม เพื่อจะได้มีเหตุและผลชัดเจนในตอนที่พิพากษา ไม่ว่าคำพิพากษาที่ออกมาจะถูกใจใคร หรือไม่ชอบใจ
และขณะที่ความตึงเครียดด้านพรมแดนที่ติดกับกัมพูชายังมีอยู่ อีกเรื่องหนึ่งที่เกิดขึ้นจนเป็นข่าวคือ ความปั่นป่วนภายในพรรคร่วมรัฐบาลเกี่ยวกับตำแหน่งรัฐมนตรี ทั้งที่เกิดในพรรคเดียวกันและระหว่างพรรค
สำหรับผม-เรื่องนี้กระจอกสุด ทุกๆ 30 วินาทีของการให้สัมภาษณ์ของนักการเมืองเหล่านี้ เราจะได้ยินคำว่า “ประชาชน” แต่จริงๆแล้ว ไม่มีเรื่องของพวกเราอย่างที่พวกเขาชอบอ้างหรอก ในใจของคนพวกนี้มีอยู่แค่ 2 เรื่อง - เรื่องแรกคือเรื่องของผม และเรื่องที่ 2 ก็เรื่องของผมอีกนั่นแหละ
แต่เรื่องที่น่ากังวลและควรให้ความสนใจมากที่สุดคือ การระเบิดสงครามระหว่างอิสราเอลและอิหร่าน เพราะจะมากจะน้อยก็มีผลกระทบต่อความสงบสุขและเศรษฐกิจของโลก
แม้การยิงขีปนาวุธเข้าใส่กันของอิสราเอลและอิหร่านยังไกลออกไปหน่อย และผมคิดว่า คงยังไม่เกิดสงครามโลก ครั้งที่ 3 หรือที่หลายคนพูดกันเท่ๆ ว่า Armageddon เพราะเราไม่สามารถเจาะจงแน่ชัดได้ว่า ใครคือกองกำลังของพระเจ้า ใครคือกองกำลังของซาตาน มันอยู่ในเฉดสีเทานัวๆ กันทั้งนั้น และต่างฝ่ายต่างก็กลัวกัน ไม่รู้ว่าใครมี “ของ” อยู่แค่ไหนและ “ของ” ใครจะมีประสิทธิภาพดีกว่ากัน
แต่ปัญหาคือ มันสร้างความตึงเครียดและหวั่นวิตกไปทั่วโลก เศรษฐกิจที่เสื่อมถอยพร้อมๆกันทั้งโลกจะยิ่งหนักหน่วงขึ้น เงินทองจำนวนมหาศาลแทนที่จะถูกนำมาใช้ฟื้นฟูเศรษฐกิจ, ขจัดความอดอยากยากแค้นที่ยังมีอยู่ทั่วโลก, แก้ไขปัญหามลภาวะเป็นพิษ,เพิ่มผลผลิตทางด้านเกษตร และใช้พัฒนาด้านการศึกษา ก็ถูกนำไปใช้ในการผลิตอาวุธมารบราฆ่าฟันกัน
ถึงตรงนี้ชาวบ้านอย่างเราๆ ยังไม่รู้เลยว่า รัฐบาลไทยภายใต้การนำของคุณหนูลูกมหาเศรษฐีและบริวาร ตระเตรียมมาตรการและแผนการรองรับอะไรไว้บ้าง หรือว่า first priority คือ ทำอย่างไรก็ได้ไม่ให้พ่อกลับไปติดคุก
ทิวา สาระจูฑะ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี