มีคนไทยจำนวนไม่น้อยเห็นว่า ไทยจะสยบเขมรที่กำลังกลายเป็น“หมาบ้า”อยู่ในเวลานี้ได้ ลำดับแรกจะต้องจัดการกับสองพ่อลูก“ตระกูลชินวัตร”ในบ้านเราให้ได้เสียก่อน จึงจะหยุดสองพ่อลูก“ตระกูลฮุน”ของเขมรในทุกๆ เรื่องได้
ความจริงไม่อยากพูดว่า สมัยรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา บริหารประเทศในช่วงเวลา 8 ปีนั้น อย่าว่าแต่ปัญหาชายแดน“ไทย-เขมร”เลย ปัญหาการเมืองภายในระหว่างรัฐบาลผสมก็ไม่เคยเกิดขึ้น มีแต่พล.อ.ประยุทธ์ สั่งปลด ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า จากตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรฯ กับนางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงาน ออกจากตำแหน่งในเดือนกันยายน ปี 2564เท่านั้น หลังฝ่ายค้านเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล อันเนื่องมาจากมีความพยายามจะ“คว่ำ”พล.อ.ประยุทธ์ให้พลัดตกจากเก้าอี้นายกรัฐมนตรี ด้วยการลงมติไม่ไว้วางใจ แต่ก็เดินเกมไม่ได้ผล กลายเป็นว่า ร.อ.ธรรมนัสและนางนฤมล เป็นฝ่าย“ถูกเชือด”ต้องหลุดจากตำแหน่งรัฐมนตรี
แต่เมื่อเทียบกับรัฐบาลผสมภายใต้การนำของพรรคเพื่อไทย ที่อ้างว่าเป็นรัฐบาลประชาธิปไตยที่มาจากการเลือกตั้ง ไม่เพียงแต่ตามที่ภาษาชาวบ้านพูดว่า “กัดกันอย่างกับหมา”แย่งชามข้าวเท่านั้น ซึ่งเวลานี้ก็เห็นอยู่ว่า งานการไม่เป็นอันทำ ทั้งศึกภายในเรื่องวิกฤตเศรษฐกิจ และศึกภายนอกที่ชายแดน“ไทย-เขมร”กำลังฮึ่มฮ่ำ และจ่อคอหอยอยู่ในเวลานี้ ควรจะให้ความสำคัญก่อน แต่กลับมาให้ความสำคัญเรื่องปรับคณะรัฐมนตรี ที่จ้องจะแย่งกระทรวงกัน
สำคัญที่สุดก็คือ ตั้งแต่อดีตนักโทษเด็ดขาดชายทักษิณ ชินวัตร กลับเข้ามาในประเทศ และพรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำรัฐบาล โดยมี“แพทองโพย”เป็น“นายกรัฐมนตรีหุ่นเชิด”ให้บิดาประทับ“ร่างทรง” มีแต่เรื่อง ทั้งปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ก็กลับคุขึ้นมาเป็นไฟลุกโชนอีก ปัญหาชายแดนด้านพม่าก็ไม่น่าไว้วางใจ
จนกระทั่งมาถึงปัญหาชายแดนไทยด้านเขมรในวันนี้ ที่ไทยกลายเป็น“ไก่รองบ่อน”ให้เขมรไล่ต้อน เพราะความคลุมเครือจากความสัมพันธ์ของสองพ่อลูก“ตระกูลชินวัตร” กับสองพ่อลูก“ตระกูลฮุน” ที่มีผลประโยชน์ทับซ้อน ระหว่างผลประโยชน์ของชาติ กับผลประโยชน์ส่วนตน
พูดตรงๆ ก็คือ “ทักษิณ ชินวัตร”นั่นแหละตัวปัญหา ที่เป็น“สารตั้งต้น” ทำให้“ความอัปมงคล”ทั้งหลายประเดประดังเกิดขึ้นในบ้านเมือง ซึ่งปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่การก่อความรุนแรงเกิดขึ้นอย่างกระชั้นถี่ ก็เพราะ“ทักษิณ”เป็นตัวจุดชนวน หลังจากได้รับการแต่งตั้งเป็นที่ปรึกษาส่วนตัวประธานอาเซียน ที่ “อันวาร์ อิบราฮิม” นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย สวมหมวกใบนี้อยู่อีกหนึ่งใบ และเมื่อวันที่ 23กุมภาพันธ์ 2568 “ทักษิณ”ได้บินลงไปจังหวัดนราธิวาส
การลงพื้นที่จังหวัดนราธิวาสครั้งนั้น “ทักษิณ ชินวัตร”ได้ขออภัยคนไทยมุสลิมกรณีเหตุการณ์“ตากใบ”ที่เกิดขึ้นเมื่อ 21ปีที่แล้ว ซึ่ง“ทักษิณ”ได้ก่อไว้ในปี 2547 พร้อมกับประกาศจะสร้างสันติสุขในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ฟื้นคืนกลับมา แต่ปรากฏว่า แทนที่เหตุความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนจะลดลง กลับยิ่งหนักขึ้นกว่าเดิม จึงเท่ากับแสดงว่าไม่มีใครเขายอมรับ“ทักษิณ” และไม่มีทีท่าว่าปัญหาจะยุติและเกิดสันติสุข ตามที่“ทักษิณ”คุยโม้โอ้อวด ว่าภายในปีนี้จะมีความชัดเจน เพราะได้รับความร่วมมือ ทั้งจากมาเลเซีย และอินโดนีเซีย ที่อาสาจะเข้ามาพูดคุย
เรื่องนี้, นายชวน หลีกภัย อดีตนายกรัฐมนตรี และอดีตประธานรัฐสภา ยังเคยกล่าวว่า คำขอโทษของ“ทักษิณ ชินวัตร” ที่ใช้คำว่า“ขออภัย”ต่อคนไทยมุสลิมในจังหวัดชายแดนภาคใต้นั้นว่า “คำขอโทษแค่นี้ไม่พอ” เนื่องจากปัญหาความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ เกิดจากความผิดพลาดในสมัยรัฐบาลพรรคไทยรักไทยที่มี“ทักษิณ”เป็นนายกรัฐมนตรี นั่นก็เพราะไม่ยึดหลักนิติธรรม และมีการเปลี่ยนแปลงนโยบายการแก้ไขปัญหาที่ได้ดำเนินมาแล้วอย่างถูกทาง ตั้งแต่สมัยรัฐบาล พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์
กลับมาพูดเรื่องเขมร, เมื่อวานซืนวันที่ 4 มิถุนายน รัฐบาลไทยเพิ่งออกแถลงการณ์เกี่ยวกับปัญหา“ไทย-เขมร” ที่เปรียบเสมือน“แถลงการณ์ไทย‘ปันใจ’ให้เขมร” ซึ่ง“อดีต สว.คำนูณสิทธิสมาน”บอกว่า เป็นแถลงการณที่รัฐบาลไทย“นั่งพับเพียบกระมิดกระเมี้ยนพูดอ้อมๆให้ต้องตีความ” ในแถลงการณ์ปกป้องอธิปไตยของชาติฉบับนี้
กล่าวคือ แถลงการณ์ของรัฐบาลไทย ที่ประกาศออกมาแบบ“ช้าเป็นเรือเกลือ”เมื่อวานซืนนี้ เป็นการพูดแบบอ้อมๆ แอ้มๆ อ้ำๆ อึ้งๆ ไม่กล้าพูดตรงๆแรงๆ กับเขมร เหมือนกลัว“กระเทือนซาง”สองพ่อลูก“ตระกูลฮุน” จะด้วยผลประโยชน์ทับซ้อนของสองพ่อลูก“ตระกูลชินวัตร” หรืออะไรก็แล้วแต่ ยังไม่ทันไร เรียกว่า“หมึก”ยังไม่แห้ง เขมรก็ประกาศแถลงการณ์โต้กลับมาอย่างปัจจุบันทันด่วน เมื่อวันที่ 5 มิถุนายนเมื่อวานนี้ แบบใช้“เท้าลบ”แถลงการณ์ของไทยโดยสิ้นเชิง
แถลงการณ์ของรัฐบาลกัมพูชา ระบุว่า“รัฐบาลกัมพูชาได้ตัดสินใจที่จะส่งเรื่องข้อพิพาทเหนือพื้นที่เปราะบาง 4 แห่ง ได้แก่ “ปราสาทตาเมือนธม-ปราสาทตาเมือนโต๊ด-ปราสาทตาควาย-สามเหลี่ยมมรกต (ช่องบก)” ไปยังศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ(ศาลโลก) ณ กรุงเฮก ซึ่งการตัดสินใจนี้ ได้รับการสนับสนุนอย่างเป็นเอกฉันท์ จากรัฐสภาและวุฒิสภาในการประชุมร่วมกัน”
พูดให้ชัดก็ก็คือ เขมรไม่สนใจเรื่องการเจรจาทวิภาคี ตามที่แถลงการณ์ไทยพูดเพ้อเจ้อว่า จะนำปัญหาข้อพิพาทเข้าสู่การเจรจาแบบทวิภาคี คือ “JBC”, “GBC” และ“RBC” โดยเฉพาะ JBC หรือ “คณะกรรมการเขตแดนร่วม” ที่จะมีการประชุมในวันที่ 14 มิถุนายนนี้ ที่กรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชา แต่เขมรจะนำขึ้นศาลโลก หรือ “ICJ”เท่านั้น พร้อมทั้งยืนยันว่า เรื่องนี้หรือที่เขมรเรียกว่า“ข้อพิพาท” จะไม่รวมอยู่ในวาระการประชุม JBC ในวันที่ 14 มิถุนายน
เขมรแสดงท่าทีและประกาศชัดจนขนาดนี้แล้ว “ภูมิธรรม เวชยชัย” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมของไทย ก็เหมือนกับว่ายังงัวๆเงียๆ ครึ่งหลับครึ่งตื่น และละเมอเพ้อเจ้อ จากการให้สัมภาษณ์เมื่อวันที่ 5 มิถุนายนเมื่อวานนี้ โดยยืนยันว่า การประชุม JBC ในวันที่ 14 มิถุนายน ยังเหมือนเดิม และจะคุยเฉพาะพื้นที่“ช่องบก”
มิหนำซ้ำ “ภูมิธรรม เวชยชัย”ยังทำสียงเข้มกับผู้สื่อข่าวว่า “เวลาอ่านแถลงการณ์ต้องอ่านให้ครบถ้วน ในแถลงการณ์ระบุว่า 4 พื้นที่พิพาท จะไม่นำเข้ามาประชุมใน JBC ซึ่งไม่มีประเด็นที่จะพูดคุยเรื่องนี้อยู่แล้ว และผมพูดชัดเจนแล้วว่า จะไม่เอาเรื่องอื่นมาคุย จะคุยแค่เรื่องพื้นที่นี้อย่างเดียว ไม่มีอะไรน่าตื่นเต้น เราจะคุยเฉพาะจุดที่เป็นปัญหา”
ไม่ว่าจะอะไรก็ตาม “ภูมิธรรม เวชยชัย”ก็อีกคนหนึ่ง ที่ประชาชนคนไทยส่วนใหญ่เห็นว่า ควรจะไปให้พ้นๆ พร้อมกับสองพ่อลูก“ตระกูลชินวัตร”เช่นกัน เพราะเห็นผลประโยชน์ของ“ตระกูลชินวัตร” สำคัญกว่าอธิปไตยเหนือดินแดนของไทย
เพราะ“จุดที่มีปัญหา” ก็คือ“ปราสาทตาเมือนธม-ปราสาทตาเมือนโต๊ด-ปราสาทตาควาย-สามเหลี่ยมมรกต”ของไทย ที่เขมรต้องการจะยึด อันเป็นปัญหาที่ไทยจะต้องทุบโต๊ะพูดกับเขมร
ไม่ใช่ยอมหงอเป็น“ลูกไล่”ให้เขมรกระทำฝ่ายเดียว!
รุ่งเรือง ปรีชากุล
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี