“สงครามยังไม่จบ อย่าเพิ่งนับศพทหาร”สุภาษิตนี้ใช้ได้กับสถานการณ์ชายแดน“ไทย-เขมร”ในเวลานี้ที่แม้ว่าสถานการณ์ตึงเครียดในการเผชิญหน้าระหว่างทหารไทยกับเขมรจะคลี่คลายลงไปได้ระดับหนึ่งก็ตาม
โดย“เขมร”ยอมถอยลงไปหนึ่งก้าว หลังจากถูกฝ่ายกองทัพไทยใช้มาตรการ“เปิด-ปิด”ด่านตลอดแนวชายแดนเขมร จากเบาไปหาหนัก เมื่อวันที่ 7 มิถุนายนที่ผ่านมาจึงทำให้เขมรต้องยอม“ปรับแถวทหาร” ที่“ช่องบก” บริเวณ“สามเหลี่ยมมรกต”อำเภอน้ำยืน จังหวัดอุบลราชธานี อันเป็นจุดเกิดเหตุปะทะเมื่อวันที่ 28พฤษภาคมเดือนที่แล้ว ซึ่งเขมรอ้างสิทธิ์ว่าเป็นของตนคือเป็นการ“ปรับแถวทหาร”เท่านั้น ไม่ใช่เป็นการ“ถอนทหาร”ออกจากเขตแดนไทยและ ณ นาทีนี้ เขมรก็ยังอ้างสิทธิ์ว่า“สามเหลี่ยมมรกต” รวมทั้ง“ปราสาทตาเมือนธม”,“ปราสาทตาเมือนโต๊ด” และ“ปราสาทตาควาย” เป็นของเขมรและต้องจบที่ศาลโลกเท่านั้น ไม่ใช่จบที่การเจรจาในระดับทวิภาคี
เห็นได้จากแถลงการณ์ของ“ฮุน เซน”ผู้นำตัวจริงของเขมรที่ได้โพสต์ลงในเฟซบุ๊กอย่างทันทีทันควัน หลังจากทหารทั้งฝ่ายไทยและเขมรตกลงเจรจากันในเบื้องต้นเป็นผลสำเร็จ เมื่อวันที่ 8 มิถุนายนที่ผ่านมาโดยทั้งสองฝ่ายยอม“ปรับแถวทหาร”ออกจากพื้นที่ที่เผชิญหน้ากันอยู่ด้วยการถอยกลับไปในจุดที่ตั้งเดิมที่เคยอยู่เมื่อปี 2567
ตามข้อตกลงนี้ ทหารเขมรต้องถอยจากต้นพญาสัตบรรณ ดินแดนไทยโดยถอยกลับไปแนว“ศาลาตรีมุข” รวมทั้งกลบคูเลตและปรับพื้นที่ทั้งหมดให้คงเดิมนอกจากนั้น ยังเห็นร่วมกันที่จะต้องมีการจัดชุดลาดตระเวนพร้อมกับให้เจ้าหน้าที่ทหารของทั้งสองฝ่าย มีการพบปะพูดคุยกันสัปดาห์ละ 1 ครั้ง
อย่างไรก็ดี, ทางด้าน“ฮุน เซน”ซึ่งหากจะตั้งฉายาให้ ก็คงใช้ฉายา“ส.ท.ร.”ของ“ทักษิณ ชินวัตร”เรียกแทนกันก็ได้ แต่“ฮุนเซน”เป็น“ผู้เสือกทุกเรื่อง”ที่มีอำนาจ“ตัวจริงเสียงจริง”แห่งกัมพูชาไม่ใช่“เสือกทุกเรื่อง”อย่างสหายรักที่ชื่อ“ทักษิณ” ที่ถนัดแต่เรื่องคุยโม้โอ้อวดและคอยตีกินในสิ่งที่ตนได้ประโยชน์เท่านั้น
โดย“ฮุน เซน”ได้โพสต์ลงเฟซบุ๊ก“Samdech Hun Sen of Cambodia” เมื่อคืนวันที่ 8 มิถุนายนที่ผ่านมาซึ่งกลับมาเปิดค่าการมองเห็นจากผู้ใช้เฟซบุ๊กในประเทศไทยอีกครั้งหลังจากได้ปิดกั้นการมองเห็นจากประเทศไทยไปเมื่อวัน 2 มิถุนายนก่อนหน้านี้,ดังข้อความต่อไปนี้ อันเป็นผลสืบเนื่องมาจากทหารไทยกับเขมรได้ข้อยุติจากการ“ปรับแถวทหาร”ทั้งสองฝั่ง-ว่า
“การปรับกำลังทหารในพื้นที่ที่มีความขัดแย้งผ่านความเข้าใจร่วมกันระหว่างผู้บัญชาการทหารของทั้งกัมพูชาและไทย เป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งเพื่อหลีกเลี่ยงการปะทะรุนแรงขนาดใหญ่ที่จะเกิดการนองเลือดประชาชนของทั้งสองประเทศต่างปรารถนาสันติภาพที่ยั่งยืนอย่างแท้จริงและไม่ต้องการที่จะเห็นสงคราม”
“ประชาชนทั้งสองประเทศล้วนต้องการสันติภาพที่แท้จริงและทางรัฐบาลกัมพูชาได้ดำเนินการเจรจา ตั้งแต่ระดับสูงจนถึงหน่วยทหารแนวหน้าซึ่งส่งผลให้เกิดข้อตกลงดังกล่าว”
“ขอให้พี่น้องประชาชนเชื่อมั่นว่า รัฐบาลกัมพูชาจะแก้ไขข้อพิพาทด้วยสันติวิธี ซึ่งเป็นหนทางเดียวที่จะหลีกเลี่ยงสงครามการนองเลือด และยังรักษามิตรภาพรวมทั้งความร่วมมือที่ดีกับไทยไว้ได้”
นอกจากนี้ “ฮุน เซน” ผู้ได้ชื่อว่าเป็นผู้นำเขมรในฐานะนายกรัฐมนตรีที่ครองอำนาจยาวนานที่สุดในโลก รวมเวลา 38 ปี ระหว่างปี 2528-2566 ก่อนจะส่งอำนาจผ่านให้แก่“ฮุน มาเนต นายรัฐมนตรีคนปัจุบันที่เป็นบุตรชายและถือได้ว่าเป็นผู้ช่ำชองและเชี่ยวชาญในการทำ“สงครามข่าวสาร”ในโลกยุคใหม่จากการใช้สื่อออนไลน์ที่ไร้พรมแดน, ได้ย้ำและยืนยันความคิดของเขมรจากการคอมเมนต์ในช่องแสดงความคิดเห็นในโพสต์ดังกล่าวนี้ว่า
“โปรดเข้าใจว่าการปรับกำลังทหารนั้นไม่ใช่การถอนทหารออกจากดินแดนของตนเองแต่เป็นการปรับกำลังทหารในดินแดนของตนเองการปรับกำลังทหารก็เปรียบเหมือนการนอนบนเตียงตั้งแต่หัวถึงปลายเท้าของเรายังอยู่บนที่นอนเพียงแต่ตอนนี้เรายกหัวขึ้นเพื่อเปลี่ยนท่านอนใหม่ดินแดนของเราก็ยังคงเป็นดินแดนของเรา”
ไม่เพียงแต่เท่านั้น, อสรพิษแห่งเขมรนามว่า“ฮุน เซน”สหายรักของ“ทักษิณ ชินวัตร”ยังได้ตอบคำถามชาวกัมพูชาที่เข้ามาถามในกระทู้นี้โดยถามว่า“นี่คือการถอนออกจากพื้นที่ที่เราเคยอ้างสิทธิหรือไม่ ?”, “ฮุน เซน”ตอบว่า“ไม่ใช่” พร้อมทั้งบอกว่า ขอให้แยกความเข้าใจให้ชัดเจน ระหว่างคำว่า“ปรับกำลัง”กับ“ถอนกำลัง” และย้ำด้วยว่า “แผนการยื่นคำร้องต่อศาลโลก (ICJ) ยังคงเดิมไม่มีการเปลี่ยนแปลง”
เห็นไหมล่ะ สำนวนลีลาอันพลิ้วไหวของ“ฮุน เซน”อดีตรัฐมนตรีต่างประเทศของกัมพูชาในปี 2522-2529 ยุค“เฮง สัมริน”หรือ“สมเด็จอัครมหาพญาจักรี เฮง สัมริน”ครองอำนาจในเขมรและอีกครั้งเมื่อสมัย“ฮุน เซน”เป็นนายกรัฐมนตรี ในปี 2531-2533โดยได้นั่งควบเก้าอี้รัฐมนตรีต่างประเทศซึ่งนับได้ว่ามีความเชี่ยวชาญช่ำชองทางด้านการทูตและการเมืองระหว่างประเทศที่ไม่ยอมให้ตนเป็นฝ่ายเสียเปรียบใคร มิหนำซ้ำยังเต็มไปด้วยเล่ห์เหลี่ยมประเภท“ไม่ได้ด้วยเล่ห์ก็เอาด้วยกล-ไม่ได้ด้วยมนตร์ก็เอาด้วยคาถา”
และเมื่อเทียบระหว่างสองพ่อลูกเขมร กับสองพ่อลูกบ้านเราแล้วนับว่าต่างกันคนละชั้น แม้จะมีนิสัยถาวรหรือที่ชาวบ้านเรียกว่า“สันดาน”เหมือนกันก็ตาม เพราะของเขมรนั้นผู้เป็นพ่อเป็นผู้ทรงอำนาจตัวจริงเสียงจริงของเขมร ส่วนบ้านเราเป็นพวก“อีแอบ”พอเห็นภัยมาและจะเข้าเนื้อเข้าตัว ก็“มุดรู”หลบเอาตัวรอด ซุ่มรอจังหวะเมื่อสถานการณ์คลี่คลายก็จะโผล่หัวออกมา“ตีกิน” เพื่อหาคะแนนนิยมต่อ
ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม, นับจากนี้ไป แม้สถานการณ์ชายแดน“ไทย-เขมร”จะคลี่คลายลงไปได้ระดับหนึ่ง มาตรการ“เปิด-ปิด”ด่านตลอดแนวชาย“ไทย-เขมร”ของกองทัพไทย ก็สมควรจะต้องดำเนินต่อไปรวมทั้งประชาชนคนไทยก็ยังคงต้องเฝ้าจับตาอย่างใกล้ชิด เพราะถ้าเผลอเมื่อไหร่เสร็จ“อสรพิษเขมร”อีกแน่นอน เสร็จแบบผลประโยชน์ร่วม“ไทยครึ่งหนึ่ง-เขมรครึ่งหนึ่ง”
เวลานี้ เสียงในประชาคมโลกโซเชียลจึงเฝ้าภาวนาและอธิษฐานขอให้การไต่สวนนัดแรกคดี“ป่วยทิพย-ชั้น 14”ของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ในวันที่ 13มิถุนายนที่จะถึงนี้ เป็นไปในทางบวกอันจะส่งผลทำให้แผ่นดินไทยหลุดพ้นจากอำนาจอิทธิพลของ“ทักษิณ ชินวัตร”ซึ่งเชื่อกันว่า เมื่อหัวขบวนไม่มีแล้วนโยบาย“สีเทา”ทั้งหลายของรัฐบาลโดยพรรคเพื่อไทย ไม่ว่าจะ“กาสิโน”หรือ“การพนันออนไลน์” รวมทั้งนโยบายด้านต่างๆ ที่จะทำให้บ้านเมืองวิบัติฉิบหายก็จะปราสนาการหมดสิ้นไปด้วยเช่นกัน
มีสองทางเลือกสำหรับ“ทักษิณ ชินวัตร”-เดินเข้าคุก กับเผ่นหนี !
รุ่งเรือง ปรีชากุล
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี