การปิดด่านตลอดแนวชายแดนไทย-กัมพูชา จากมาตรการเบาไปหาหนัก ของกองทัพบก โดยกองทัพภาคที่ 1 คือกองกำลังบูรพา และกองทัพภาคที่ 2 โดยกองกำลังสุรนารี นั้น ถือว่าเรามาถูกทางแล้วในการต่อกรกับเขมร ที่มีผู้นำประเทศตัวจริงซึ่งน่ากลัวยิ่งกว่า“อสรพิษ”
โดยก่อนหน้านี้ ก่อนที่จะมีการประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติเมื่อวันที่ 6 มิถุนายนที่ผ่านมา ทางฝ่ายรัฐบาล ทั้ง“แพทองโพย”นายกรัฐมนตรี ผู้ขาดความรู้ความสามารถในการบริหารราชการแผ่นดิน และ “ภูมิธรรม เวชยชัย” รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ปฏิเสธการใช้มาตรการปิดด่านชายแดน
โดยฝ่ายรัฐบาลไม่เห็นด้วยกับข้อเสนอของกองทัพ ที่เสนอให้มีการปิดด่านตลอดแนวชายแดน“ไทย-เขมร” เพื่อกดดันเขมรให้ถอนกำลังออกจากพื้นที่ที่มีการรุกล้ำอธิปไตยของไทยเข้ามา 200 เมตร ตรงบริเวณ“ช่องบก” อำเภอน้ำยืน จังหวัดอุบลราชธานี
แต่ในที่สุด รัฐบาลก็ไม่สามารถจะต้านทานเสียงของกองทัพ และหน่วยงานความมั่นคงส่วนอื่นๆ ที่เป็นกรรมการสภาความมั่นคงแห่งชาติ โดยเฉพาะเสียงของประชาชนส่วนใหญ่ในประเทศนี้ ที่เห็นว่า รัฐบาลโดย“ทักษิณ ชินวัตร”เป็นผู้ชักใย อาจจะมีผลประโยชน์ทับซ้อนกับ“ฮุน เซน” ผู้ทรงอำนาจและผู้นำตัวจริงแห่งกัมพูชา จึงไม่กล้าใช้“ไม้แข็ง” เพื่อกดดันเขมรให้ถอนกำลังพ้นออกไปจากดินแดนไทยที่มีการรุกล้ำเข้ามา
อย่างไรก็ตาม ทันทีที่กองทัพไทยมีการใช้มาตรการเข้ม จากเบาไปหาหนัก เมื่อวันที่ 7 มิถุนายนที่ผ่านมา โดย พล.อ.พนา แคล้วปลอดทุกข์ ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ลงนามในคำสั่ง“เปิด-ปิด”ด่านชายแดน“ไทย-กัมพูชา”ตลอดแนว พร้อมมอบหมายให้กองทัพภาคที่ 1 โดยผู้บัญชาการกองกําลังบูรพา และกองทัพภาคที่ 2 โดยผู้บัญชาการกองกําลังสุรนารี มีอำนาจกำหนดมาตรการ, หลักเกณฑ์, วิธีการ และเงื่อนไข หรือ“เงื่อนเวลา”ที่จำเป็นและเหมาะสม ในการผ่านแดนบริเวณจุดผ่านแดนทุกประเภทตามแนวชายแดน“ไทย-กัมพูชา”
ปรากฏว่าในคืนวันเดียวกันนั้น คือวันที่ 7 มิถุนายน ฝ่าย“ฮุน เซน”ซึ่งพูดได้ว่า“เลี้ยงไม่เชื่อง” เหมือนอสรพิษที่มิอาจไว้วางใจได้ ก็ได้โพสต์ลงในเฟซบุ๊ก“Samdech Hun Sen of Cambodia” ตอบโต้“มาตรการปิดด่าน”อย่างทันทีทันควัน ว่า “วันนี้ กองทัพไทยได้ปิดด่านตรวจคนเข้าเมืองปอยเปต โดยฝ่ายเดียวก่อนกำหนด ดังนั้น ประเทศไทยต้องรับผิดชอบอย่างเต็มที่สำหรับการกระทำนี้ สำหรับพลเมืองกัมพูชา สิ่งสำคัญคือ ต้องมีสติสัมปชัญญะ และหลีกเลี่ยงการก่อให้เกิดเหตุการณ์ใดๆ”
สหายรักของ“ทักษิณ ชินวัตร” ที่มีผลประโยชน์ทับซ้อนระหว่าง“ตระกูลชิน” กับ“ตระกูลฮุน” ยังแสดงน้ำเสียงเหมือนเป็นการข่มขู่ ว่าไทยอาจจะเสียประโยชน์ทางด้านการค้าจากการปิดด่าน โดยระบุว่า “ข้าพเจ้าเพียงต้องการเตือน ทั้งชาวกัมพูชาและชาวไทย ว่าหากสินค้าของไทยหายไปจากตลาดกัมพูชา นั่นไม่ใช่เพราะชาวกัมพูชาร่วมกันเลือกที่จะคว่ำบาตรสินค้า แต่เป็นผลที่ตามมาจากการปิดพรมแดน เพราะเมื่อผู้คนถูกปิดกั้น สินค้าก็จะถูกปิดกั้นไปด้วย”
พร้อมกันนี้ “ฮุน เซน”ได้อ้างตัวเลขการค้าระหว่าง“ไทย-กัมพูชา” ว่า“ปี 2567 ที่ผ่านมา กัมพูชาส่งออกสินค้ามูลค่ากว่า 1.1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ มายังประเทศไทย ในขณะที่ไทยส่งออกสินค้ามายังกัมพูชามากกว่า 5.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งหมายความว่า การส่งออกของไทยเกินมูลค่าของกัมพูชามากกว่า 4.1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ส่วนในช่วง 5 เดือนแรกของปีนี้เพียงปีเดียว กัมพูชาส่งออกสินค้ามูลค่ากว่า 200 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ มายังประเทศไทย ขณะที่ไทยส่งสินค้ามูลค่ากว่า 1.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ มายังกัมพูชา”
อสรพิษอย่าง“ฮุน เซน” ได้กล่าวฝากถึงประชาชนชาวเขมรแบบใส่ร้ายไทย และปลุกระดมความคลั่งชาติอยู่ในทีว่า “สำหรับพลเมืองกัมพูชา ในกรณีที่ไม่มีสินค้าของไทย โปรดอย่าตำหนิรัฐบาลกัมพูชา เพราะการขาดแคลนนี้ เป็นผลโดยตรงจากการตัดสินใจของประเทศไทยในการปิดพรมแดน”
สุดท้าย“ฮุน เซน” อดีตผู้บังคับกองพันเขมรแดงกลุ่ม“เฮงสัมริน” ผู้เคยไปเชื้อเชิญกองทัพเวียดนาม ให้ยาตรากำลังทหารกว่า 1 แสนนาย เข้ามาโค่นล้มรัฐบาลเขมรแดงกลุ่ม“พอล พต”ในปี 2522 และจากนั้นในปี 2528 ก็ได้ขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของกัมพูชา และครองอำนาจยาวนานถึง 38 ปี ก่อนจะส่งต่อให้“ฮุน มาเนต”ผู้เป็นบุตรชาย ที่ก้าวขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีกัมพูชาในปี 2566 ได้เรียกร้องต่อประชาชนในประเทศของตนว่า
“ข้าพเจ้าขอเรียกร้องให้เพื่อนชาวกัมพูชาทุกคนรักษาความสงบ ความเป็นผู้ใหญ่ ความอดทน และความสุภาพ แต่ด้วยความแน่วแน่ หลีกเลี่ยงการกระทำใดๆ ที่จะเปิดโอกาสให้ชาวต่างชาติดูหมิ่นศักดิ์ศรีของเรา”
การเคลื่อนไหวผ่านเฟซบุ๊กของ“ฮุน เซน” หรือสมเด็จอัครมหาเสนาบดี เดโช ฮุน เซน ประธานองคมนตรี และประธานวุฒิสภากัมพูชา วัยจะครบ 73 ปี ในเดือนสิงหาคมปีนี้ ผู้ซึ่งได้รับการบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์การเมืองโลกว่า เป็นผู้นำประเทศที่ครองอำนาจยาวนานที่สุดในโลก และว่ากันว่ามีอำนาจยิ่งใหญ่เหนือสถาบันหลักของกัมพูชาด้วยนั้น ก็เหมือนกับว่าไทยได้ตี“อสรพิษ”ถูกจุดที่สำคัญ ทำให้ต้องชักดิ้นชักงอก่อนจะตาย
เสียงของประชาชนคนไทยในโลกโซเชียล ซึ่งเป็นเสียงประชาชนที่แท้จริงแห่งยุคสมัย จึงเห็นว่า ไทยมาถูกทางแล้ว ที่ใช้“การทหารนำการเมือง” หรือให้กองทัพเป็นผู้ตัดสินใจในการกำราบเขมรที่เปรียบเสมือน“งูพิษ” เพราะกองทัพไทยนั้น ไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อน มีแต่ภาระหน้าที่ในการปกป้องอธิปไตยของชาติเท่านั้น
สำคัญที่สุด “ฮุน เซน”ประเมินต่ำ เกี่ยวกับเรื่องผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจของไทย ที่จะเสียหายจากการค้าตามตัวเลขที่อ้าง อันเนื่องมาจากการปิดด่านนั้น ภาษาขาโจ๋เขาว่า “จิ๊บจิ๊บ”
เพราะคนไทยนั้น “รักสงบ-แต่ถึงรบไม่ขลาด” ขนาดเงินเกือบ 2 แสนล้านบาท รัฐบาลพรรคเพื่อไทยที่มีผู้ชักใยเป็นเพื่อนเลิฟของ“ฮุน เซน” ก็ยังเอามาล้างผลาญแบบ“ตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ” และทำให้เห็นมาแล้วในโครงกระตุ้นเศรษฐกิจแจกเงิน“ดิจิทัล 1 หมื่นบาท”
ดังนั้น เงินทองที่พ่อค้านายทุนรายใหญ่ของไทยจะเสียสัก 4-5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพื่อแลกกับอำนาจอธิปไตยเหนือดินแดนของชาติบ้านเมือง จึงถือว่าสหายรักของ“ทักษิณ ชินวัตร”คิดผิด
อีกทั้งล่าสุดเมื่อวันที่ 8 มิถุนายนเมื่อวานนี้ ฝ่ายเขมรก็ได้ยอมถอนกำลัง จากพื้นที่ที่รุกล้ำเข้ามาในดินแดนไทยตรง“ช่องบก” พร้อมทั้งปิดกลบคูเลต และปรับพื้นที่ให้กลับมาอยู่ในสภาพเดิมเรียบร้อยแล้ว
เห็นมั้ยล่ะ ! จะจัดการกับอสรพิษทั้งทีต้องตีให้ถูกจุด และจากนี้ไปก็ต้องคอยระวังอสรพิษในบ้านของเราเองด้วย ซึ่งก็เผลออีกไม่ได้เช่นกัน
เพราะ“อสรพิษ”บ้านเรานั้น ร้ายพอๆ กับ“ฮุน เซน” !
รุ่งเรือง ปรีชากุล
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี