กระทรวงการต่างประเทศ เคยได้ชื่อว่ามีเกียรติ มีศักดิ์ศรี
เป็นกระทรวงท้ายๆ ที่จะยอมเป็นขี้ข้านักการเมือง ทำเรื่องระยำตำบอน
แต่สังคมกำลังคลางแคลงใจ กรณีรับมือกับเขมร ในยุครัฐบาลพรรคเพื่อไทย
1. หลังเสร็จการประชุมคณะกรรมการชายแดนร่วม (JBC) ที่กรุงพนมเปญ
ปรากฏว่า ประธาน JBC ฝ่ายกัมพูชา อ้างว่าทั้งสองฝ่ายตกลงที่จะใช้แผนที่มาตราส่วน 1 ต่อ 200,000 ตามเจตนารมณ์ของอนุสัญญาฝรั่งเศส-สยาม ค.ศ. 1904 และสนธิสัญญาฝรั่งเศส-สยาม ค.ศ. 1907 เพื่อดำเนินการรังวัดและปักปันเขตแดน
ฝ่ายกัมพูชาแสดงจุดยืนปฏิเสธแผนที่ฝ่ายไทย คือ แผนที่มาตราส่วน 1 ต่อ 50,000
ซึ่งในความเป็นจริง มีความละเอียดแม่นยำมากกว่าแผนที่มาตราส่วน 1 ต่อ 200,000 ที่กัมพูชายึดถือ
2. หลังจากนั้น เพจเฟซบุ๊ก “กระทรวงการต่างประเทศ Ministry of Foreign Affairs of the Kingdom” โพสต์ข้อความ ระบุว่า
“ตามที่เกิดความเข้าใจผิดในวงกว้างในขณะนี้ กระทรวงการต่างประเทศขอชี้แจงและยืนยันว่า การประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม ไทย - กัมพูชา (Joint Boundary Commission: JBC) ครั้งที่ 6 ที่จัดขึ้นระหว่างวันที่ 14-15 มิถุนายน 2568 ณ กรุงพนมเปญ ราชอาณาจักรกัมพูชา ซึ่งเพิ่งเสร็จสิ้นลงเมื่อบ่ายวันนี้ (15 มิถุนายน 2568) มิได้มีการหารือในประเด็นที่กัมพูชาจะนำพื้นที่ 4 จุด เข้าสู่การพิจารณาของ International Court of Justice (ICJ) โดยมิได้มีการหารือประเด็นแผนที่ 1:200,000 คณะกรรมการปักปันสยาม - อินโดจีน ตามที่ฝ่ายกัมพูชาอ้างแต่อย่างใด”
3. กระทรวงการต่างประเทศ ได้ออกเอกสารแถลงข่าว การประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (JBC) ไทย - กัมพูชา ครั้งที่ 6 ระบุว่า
“การประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม ไทย - กัมพูชา Joint Boundary Commission (JBC) ครั้งที่ 6 จัดขึ้นในวันที่ 14 มิถุนายน 2568 ณ กรุงพนมเปญ ราชอาณาจักรกัมพูชา
ฝ่ายไทยมีนายประศาสน์ ประศาสน์วินิจฉัย ที่ปรึกษากระทรวงการต่างประเทศด้านเขตแดนเป็นประธานคณะกรรมาธิการร่วมฝ่ายไทย ด้านฝ่ายกัมพูชามีนายฬำ เจีย รัฐมนตรีรับผิดชอบสำนักงานเลขาธิการกิจการชายแดนแห่งชาติกัมพูชา เป็นประธานคณะกรรมาธิการร่วมฝ่ายกัมพูชา โดยคณะกรรมาธิการเขตแดนประกอบด้วยผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของทั้งสองประเทศ
การประชุมครั้งนี้ เป็นการประชุมครั้งแรกในรอบ 13 ปี หลังจากการประชุมครั้งล่าสุดเมื่อปี 2555 ที่กรุงเทพฯ ทั้งสองฝ่ายร่วมกันหารืออย่างกว้างขวาง ซึ่งในประเด็นการดำเนินงานด้านเทคนิคภายใต้กรอบกลไก JBC นำไปสู่ความคืบหน้าสำคัญ ได้แก่
(1) รับรองผลการประชุมคณะอนุกรรมาธิการร่วมไทย - กัมพูชา (Joint Technical Sub-Committee (JTSC)) ครั้งที่ 4 (14 กรกฎาคม 2567) ณ เมืองเสียมราฐ โดยทั้งฝ่ายเห็นตรงกันต่อตำแหน่งที่ตั้งของหลักเขตถึง 45 หลัก และเห็นชอบให้นำเทคโนโลยี LiDAR มาใช้ในการจัดทำภาพถ่ายทางอากาศเพื่อความรวดเร็วในการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดน
(2) เห็นชอบให้มีการแก้ไขแผนแม่บทว่าด้วยการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบกระหว่างไทยกับกัมพูชา ซึ่งจัดทำขึ้นเมื่อปี 2546 (TOR 2003) เพื่อนำเทคโนโลยี LiDAR มาใช้ในการจัดทำแผนที่ภาพถ่ายทางอากาศ
(3) เห็นชอบการส่งชุดสำรวจร่วมไปลงสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนในพื้นที่ระหว่างหลักเขตแดนที่ทั้งสองฝ่ายมีความเห็นตรงกันในพื้นที่ที่ใช้ลำน้ำ หรือเส้นตรงเป็นเส้นเขตแดน โดยมอบหมายให้ JTSC ไปหารือและจัดทำข้อกำหนดทางเทคนิค (Technical Instruction: TI) ร่วมกันต่อไป
(4) เห็นชอบให้มีการจัดทำข้อกำหนดทางเทคนิคการเดินสำรวจในพื้นที่ตอนที่ 6 (จากเขาสัตตะโสม จนถึงหลักเขตแดนที่ 1 ช่องสะงำ จังหวัดศรีสะเกษ) ซึ่งเป็นประเด็นคงค้างมาตั้งแต่ปี 2554 โดยมอบหมาย JTSC จัดทำข้อกำหนดทางเทคนิคการเดินสำรวจ ไปพร้อมๆ กับการจัดทำแผนที่ภาพถ่ายทางอากาศเพื่อเสนอต่อ JBC ต่อไป
อย่างไรก็ดี ฝ่ายไทยแสดงความผิดหวังเป็นอย่างยิ่งต่อการที่ฝ่ายกัมพูชายังไม่ยอมร่วมมือกับไทยในการแก้ไขปัญหาเฉพาะและลดความตึงเครียดระหว่างกัน แต่ยังเดินหน้านำเรื่องพื้นที่ 4 จุด (พื้นที่ช่องบก ปราสาทตาเมือนธม ปราสาทตาเมือนโต๊ด และปราสาทตาควาย) ไปสู่การพิจารณาของ ICJ ซึ่งสะท้อนว่าฝ่ายกัมพูชาขาดความตั้งใจจริงในการใช้กลไกทวิภาคีต่างๆ ที่มีอยู่ร่วมกันบนพื้นฐานของความเป็นเพื่อนบ้านที่ดี
ในการนี้ ประธานฝ่ายไทยได้ย้ำท่าทีไทยตอบโต้ทุกประเด็นที่ถูกกล่าวหา (ซึ่งได้บันทึกแนบไว้ในเอกสารผลลัพธ์ Agreed Minutes ของการประชุมครั้งนี้) ดังนี้
1. การดำเนินการของไทยเป็นไปโดยความจำเป็นตามหลักการป้องกันตัวจากการที่ถูกฝ่ายกัมพูชาโจมตีก่อน และเป็นไปอย่างเหมาะสมและได้สัดส่วนตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศ
2. ไทยแสดงความผิดหวังที่ฝ่ายกัมพูชาเลือกที่จะปิดประตูการเจรจาอย่างสันติใน 4 พื้นที่ โดยท่าทีของรัฐบาลไทยมาโดยตลอด ได้เน้นความสำคัญของการแก้ไขปัญหาระหว่างกันแบบทวิภาคี และบทบาทที่สำคัญของ JBC ในการทำให้มีเขตแดนชัดเจนระหว่างกัน เพื่อประโยชน์แก่ประชาชนทั้งสองฝ่าย
3. ไทยย้ำถึงความสำคัญที่ทั้งสองฝ่ายจะต้องยึดมั่น MOU 2543 (ซึ่งฝ่ายกัมพูชาได้เห็นชอบร่วมกับไทย) โดยไม่ดำเนินการใดๆ ที่เป็นการเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมของเขตแดน ไม่รุกล้ำเขตแดนระหว่างกัน และทั้งสองฝ่ายจะต้องใช้ความอดกลั้นเพื่อไม่ให้สถานการณ์ลุกลามบานปลาย
4. ทั้งสองฝ่ายจะต้องหลีกเลี่ยงการเผยแพร่ข้อมูลที่จะนำไปสู่ความเข้าใจผิดและขัดแย้งในวงกว้าง และย้ำถึงความสำคัญของการใช้กลไกความร่วมมือทวิภาคีอื่นๆ ในการช่วยแก้ปัญหาด้วย เช่น GBC, RBC การประชุมผู้ว่าจังหวัดชายแดนไทย - กัมพูชา เพื่อให้แนวชายแดนมีความสงบเป็นปกติ และอำนวยความสะดวกการเดินทางของคนและขนส่งสินค้า ซึ่งฝ่ายกัมพูชาปฏิเสธที่จะหารือในประเด็นนี้
ทั้งนี้ การประชุมมิได้มีการหารือในประเด็นที่กัมพูชาจะนำพื้นที่ 4 จุด เข้าสู่การพิจารณาของ ICJ และมิได้มีการหารือประเด็นแผนที่ 1:200,000 คณะกรรมการปักปันสยาม - อินโดจีน ตามที่ฝ่ายกัมพูชาอ้างแต่อย่างใด
การประชุมในครั้งนี้เป็นการหารือในประเด็นเทคนิคในการจัดทำแผนที่ภาพถ่ายทางอากาศ ซึ่งเป็นขั้นตอนที่ 2 ของการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนตามแผนแม่บทฯ
ฝ่ายไทยจะเป็นเจ้าภาพการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย - กัมพูชา สมัยพิเศษ ซึ่งจะมีขึ้นในช่วงเดือนกันยายน 2568”
4. หากความจริงเป็นดังที่กระทรวงการต่างประเทศชี้แจงต่อประชาชนคนไทย
หลังจากนี้ รัฐบาลไทยจะต้องทำหนังสือประท้วง ประณามการบิดเบือนของฝ่ายกัมพูชา อย่างเป็นทางการ
เพราะพฤติกรรมของฝ่ายเขมร คือ การคิดคดทุรยศอย่างน่ารังเกียจสะอิดสะเอียน
ไม่ต่างกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่มีฐานที่มั่นหากินต้มตุ๋นคนทั่วโลกอยู่ในเขมร
มันคือการโป้ปดมดเท็จ หวังเอาแผ่นดินไทยเยี่ยงมิจฉาชีพ
ประกอบกับ ขณะนี้ กัมพูชาได้ส่งหนังสือถึงศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ จะตู่เอาแผ่นดินไทย
ไทยต้องยืนยันเป็นเอกสารอย่างชัดเจนว่าเราไม่ยอมรับอำนาจศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ ICJ
แสดงหลักฐานที่มีทั้งหมดที่เราปฏิเสธอำนาจ ICJ ในทุกวาระ
แถลงต่อสังคมโลก และประจานฝ่ายกัมพูชาให้โลกเห็นว่า ฝ่ายกัมพูชาเป็นเจ้าภาพการประชุม JBC ตาม MOU2543 อยู่แท้ๆ แต่กลับดำเนินการละเมิดข้อ 8 ของ MOU2543 เสียเอง ด้วยการนำเรื่องขึ้นสู่ ICJ ทั้งที่ MOU2543 ข้อ 8 บัญญัติว่า “ข้อ 8 (การเจรจา) ให้ระงับข้อพิพาทใดๆ ที่เกิดจากการตีความหรือการบังคับใช้บันทึกความเข้าใจฉบับนี้โดยสันติวิธีด้วยการปรึกษาหารือและการเจรจา”
โดยที่ฝ่ายกัมพูชาเคยละเมิดมาแล้วกว่า 400 ครั้งด้วย
ไทยจะต้องเดินหน้าตัดกระแสไฟฟ้า ตัดอินเตอร์เนต สำหรับกิจการกาสิโนและสแกมเมอร์ ห้ามบุคคลข้ามด่านพรมแดนไปเล่นการพนันอย่างเด็ดขาด ต่อเนื่อง เพราะเป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติ
หากไม่ดำเนินการ ถือว่า ทรยศชาติ
สมควรถูกตราหน้าว่า สมคบกันกับผู้ทุรยศในฝ่ายเขมร
ถ้าเป็นสมัยก่อน ต้องอาญาฟันคอริบเรือน ตัดหัวเจ็ดชั่วโคตร
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี