ท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์ถึงจุดยืน หลักการ และท่าทีของ “พรรครวมไทยสร้างชาติ” ต่อการเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรี นางสาวแพทองธาร ชินวัตร รับผิดชอบความผิดพลาดเรื่อง “คลิปเสียงสนทนากับสมเด็จฮุนเซน” ด้วยการลาออก และผู้คน โดยเฉพาะกองเชียร์ รอฟังความชัดเจนอยู่นั้น
วันที่ 24 มิ.ย.2568 นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.พลังงาน ปฏิเสธที่จะให้ความชัดเจนเกี่ยวกับมติของพรรครวมไทยสร้างชาติ ที่ยื่นเงื่อนไขให้นายกฯ ลาออก เพื่อเปลี่ยนตัวนายกรัฐมนตรี โดยระบุสั้นๆ ว่า “มติของพรรคให้ไปพูดคุยกับนายกฯ ไม่ได้ให้มาบอกนักข่าว”
ผู้สื่อข่าวซักต่อว่า มติพรรคฯ ที่กลับไป-กลับมา ได้สร้างความเสียหายให้กับพรรครวมไทยสร้างชาติ นายพีระพันธุ์ ไม่ได้ตอบคำถาม แต่พยายามที่จะกดประตูรถตู้ปิดทันทีเพื่อหลีกเลี่ยงการสัมภาษณ์
1) นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค เป็นหัวหน้าพรรคที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์มาตลอดเรื่อง “มนุษยสัมพันธ์” เข้าถึงยาก เจ้ายศเจ้าอย่าง ฯลฯ ครั้งนี้อาจเป็นสิ่งที่ “คนวงนอก” ประจักษ์แก่ตาก็ได้ เพราะท่านเลือกจะ “ไม่พูดกับใครเลย” นอกจากเข้าบ้านจันทร์ส่องหล้า เจรจากับ “นายทักษิณ ชินวัตร” ผู้ครอบครองนายกฯ แม้จะเกิดกรณีกองเชียร์เถียงกัน สับสนอลหม่านปานใด ท่านก็มิได้นำพา
2) วันที่ 20 มิถุนายน นายจุติ ไกรฤกษ์ สส.บัญชีรายชื่อ ในฐานะรองหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) กล่าวถึงกระแสข่าวมติพรรค รทสช.เสนอเปลี่ยนนายกรัฐมนตรี ว่า มติของพรรค คือ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ต้องแสดงความรับผิดชอบด้วยการลาออก ถ้านายกฯไม่ลาออก พวกเราก็ลาออก ด้วยมารยาทที่ทำงานร่วมกันมาจึงได้มอบหมายให้นายพีระพันธุ์
สาลีรัฐวิภาค รองนายกฯ และรมว.พลังงาน ในฐานะหัวหน้าพรรค รทสช.นำมติดังกล่าวไปแจ้งต่อนายกฯ เพื่อเป็นการให้เกียรตินายกฯ เพราะเราไม่อยากเสียมารยาทต่อนายกฯที่ทราบจากสื่อ เมื่อหัวหน้าพรรค รทสช.ได้คุยกับนายกฯ แล้ว ผลเป็นอย่างไรจะต้องมาแจ้งในพรรคให้ทราบอีกครั้ง
“ถ้าชัดเจนว่า นายกฯไม่ลาออก เราก็ต้องลาออก อันนี้ถือเป็นมติชัดเจน อย่าไปเชื่อข่าวลือ เพราะมติพรรคไม่ได้เปลี่ยนเป็นรายชั่วโมง มติก็คือมติ ถ้าจะเปลี่ยนมติใหม่ก็ต้องประชุมใหม่ ซึ่งผมคิดว่า มติคงไม่เปลี่ยนแปลง และผมไม่เชื่อว่า พรรคจะติดหล่มเรื่องตำแหน่งและกล้วย เมื่อวาน (19 มิ.ย.) โจทย์ใหญ่คือ ประเทศไทยต้องใหญ่กว่าการเมือง เพราะในที่ประชุมก็มีการวิเคราะห์กันเยอะถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้น โดยมีสมาชิกพรรคบางคนสอบถามว่า จะไปตอบคำถามสื่อ หรือแฟนคลับอย่างไร ทำไมเราไม่ออกพร้อมพรรคภูมิใจไทย ก็เพราะว่า พรรคต้องมีการประชุมเพื่อให้ทุกคนรับทราบ” นายจุติ กล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่า ถ้ารัฐบาลยืนยันนายกฯ คนเดิม และมีการจัดคณะรัฐมนตรี (ครม.) โดยพรรคร่วมฯที่เหลือในปัจจุบัน จะเป็นการมัดมือชกหรือไม่ นายจุติ กล่าวว่า ถ้านายกฯ ไม่ลาออกแล้วเสนอชื่อเราไป ตามปกติเราต้องเอามติพรรคว่าจะเอาใครเป็นรัฐมนตรี แต่ถ้าพรรคไม่ได้มีมติว่า เสนอใคร แล้วเขาจะแต่งตั้งได้อย่างไร และถ้าจะเป็นอย่างนั้นก็ต้องดูว่า เขาจะให้กระทรวงไหนเรา กระทรวงเดิมหรือกระทรวงไหน พรรคจะทำงานได้หรือไม่ และพรรคจะส่งใคร
3) วันที่ 21 มิ.ย. นายวิทยา แก้วภราดัย รองหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ(รทสช.) เปิดเผยสถานการณ์ล่าสุดของพรรคที่นำมติไปคุยกับนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีว่า รอฟังข่าวอยู่ว่าเขาจะว่าอย่างไร เขายังไม่ตอบมา อย่างเป็นทางการ ซึ่งมติของพรรค รทสช.คือขอให้เปลี่ยนตัวนายกรัฐมนตรี ถ้าไม่เปลี่ยนเราก็ต้องลาออก เพราะนายกฯหมดคุณสมบัติที่จะเป็นแล้ว อยู่ไปก็คงยาก 2-3 เดือนก็เต็มที่แล้ว เพราะขณะนี้กระแสไปเร็วมาก มติที่ผ่านมาเป็นอย่างนี้แต่หัวหน้าไม่อยากพูดเพราะท่านเป็นสุภาพบุรุษ
ผู้สื่อข่าวถามถึงข่าวนายกฯแจ้งกลับมาแล้วว่าจะขอลาออกหลังจากผ่านร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2569 แล้ว นายวิทยา กล่าวว่า ก็ไม่เป็นไรก็ค่อยมาคุยกัน แต่ตนคิดว่าคงไม่จำเป็นหรอก เพราะงบประมาณฯ อีก 3 เดือนกว่าจะผ่าน ไม่จำเป็นหรอก
“ปัญหาคือจะอยู่ถึงหรือเปล่า ปัญหาเรื่องของจริยธรรมก็จะตามมาเป็นขบวนแล้ว มันรอดยากแล้ว ทางการเมืองก็การเมืองไป แต่ในทางกฎหมายยิ่งไปกันใหญ่ เร็วกว่าการเมืองด้วย ตนกลัวว่าการเมืองยังไม่ทันจบ ทางกฎหมายจะไปก่อนแล้ว อย่างนี้จบเลย”
เมื่อถามว่าเรายังคงยืนยันตามนี้อยู่ใช่หรือไม่ นายวิทยา กล่าวว่า “ก็มันเป็นมติ เราก็ต้องยืนยันตามนั้น และคิดว่าเป็นวิธีที่ดีที่สุดสำหรับการรักษาพรรคไว้ ถ้าเปลี่ยนแปลงจากนี้ก็ต้องมาคุยกัน”
4) วันที่ 22 มิ.ย. 2568 นายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ สส.ราชบุรี ในฐานะโฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ให้สัมภาษณ์ถึงกระแสข่าวว่าพรรค รทสช. ต่อรองขอเก้าอี้รัฐมนตรีเพิ่มในการปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) ครั้งนี้ว่า เรื่องดังกล่าวไม่มีแน่นอน ตนได้พูดคุยกับผู้บริหารพรรค ยืนยันว่าพรรค รทสช.ไม่มีการต่อรองเพิ่ม
ผู้สื่อข่าวถามย้ำว่า ไม่ได้ขอโควตารัฐมนตรีว่าการเพิ่มอีก 1 เก้าอี้ใช่หรือไม่ นายอัครเดช กล่าวว่า ถ้าสมมุติมีการร่วมรัฐบาลต่อ พรรคก็จะยืนยันตำแหน่งโควตารัฐมนตรี 4 ตําแหน่งตามเดิม ส่วนบุคคลที่จะมาดำรงตำแหน่งนั้น กลไกของพรรคได้มอบอำนาจให้นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พลังงาน ในฐานะหัวหน้าพรรค รทสช. เป็นผู้ตัดสินใจ
เมื่อถามว่า มีหลายคนในพรรคออกมาให้ข่าวว่า มติของพรรค รทสช.คือขอให้เปลี่ยนตัวนายกรัฐมนตรี ไม่งั้นก็ไม่ร่วมรัฐบาล นายอัครเดช กล่าวว่า เรื่องมติพรรค ที่ผ่านมามีกระแสข่าวจากหลายที่ และมีคนออกมาให้สัมภาษณ์ อย่างไรก็ตาม มติพรรคที่ถูกต้อง จะต้องมาจากนายพีระพันธุ์ เพียงผู้เดียว เพราะพรรคได้มีมติให้นายพีระพันธุ์ เป็นคนพูดคนเดียว ซึ่งมติพรรคระบุรายละเอียดไว้ชัดเจนว่าใครเป็นผู้แถลง
“การที่มีแหล่งข่าวจากที่ต่างๆ ให้สัมภาษณ์ ก็อย่าพึ่งไปเชื่อ ขอให้ฟังจากหัวหน้าพรรคเพียงคนเดียว” นายอัครเดช กล่าว
เมื่อถามถึงกระแสข่าวว่า มีการเสนอให้เปลี่ยนตัวนายกฯ เป็นนายพีระพันธุ์ นายอัครเดช กล่าวว่า ไม่มี ในวันที่ประชุมกรรมการบริหารพรรค เมื่อวันที่ 19 มิ.ย.ที่ผ่านมา เราคุยกันแค่เพียงว่า จะทำยังไงเพื่อไม่ให้เกิดการยุบสภา เพราะจะทำให้เกิดผลกระทบกับประเทศหลายอย่าง ทั้ง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2569 ที่ค้างอยู่ ซึ่งนายพีระพันธุ์เป็นห่วงเรื่องนี้มาก ส่วนการผลักดันให้นายพีระพันธุ์เป็นนายกฯ นั้น ยืนยันว่าไม่มีการหารือเรื่องนี้ในที่ประชุมแน่นอน ตนการันตี ดังนั้นการให้ข่าวจากบุคคลอื่น จึงไม่สามารถรับฟังได้
นายอัครเดช กล่าวอีกว่า ส่วนกรณีที่นายพีระพันธุ์ ไม่ได้ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนหลังการประชุมกรรมการบริหารพรรคนั้น เพราะกลัวเสียมารยาท เนื่องจากอยากให้นายกรัฐมนตรีรู้จากตัวท่านโดยตรง ไม่ใช่รู้ผ่านจากสื่อ เพราะเป็นมารยาททางการเมือง
5) ขอขีด “เส้นใต้บรรทัด” ที่คำว่า “ขอให้ฟังจากหัวหน้าพรรคเพียงคนเดียว” ของนายอัครเดช แล้วตะโกนถามดังๆ ว่า “แล้วหัวหน้าพรรคของคุณจะพูดวันไหน จะพูดไหม”
6) นายกรณ์ จาติกวณิช โพสต์เฟซบุ๊กถึงเรื่องนี้ว่า “ช่วงหลายวันที่ผ่านมามีสองกระแสหลักในสังคม 1. เรียกร้องไม่ให้ปฏิวัติ 2. เรียกร้องจิตสำนึกจากนักการเมืองผมเชื่อเสมอว่า ปัญหาการเมืองทุกปัญหาสามารถแก้ไขได้โดยนักการเมือง สำคัญอยู่ที่จะแก้หรือไม่แก้เท่านั้น และเมื่อไม่ยอมแก้ ศรัทธาประชาชนจะหดหาย เปิดช่องให้อำนาจพิเศษแทรกเข้ามาได้ เกิดขึ้นอย่างนี้มาหลายครั้งแล้ว
ดังนั้น เมื่อนายกฯพูดออกปากเรียกคู่ขัดแย้งกับประเทศเราว่า “พวก” แต่กลับเรียกผู้นำกองทัพเราเองเป็น “ฝั่งตรงข้าม” มาตรฐานปกติทางการเมืองในระดับสากลกำหนดว่านายกฯต้องลาออก เพราะการลาออกจะช่วยให้การเมือง “อยู่ในเกม” ถือว่าเป็นการเสียสละโดยผู้มีอำนาจ เพื่อรักษาและส่งเสริมสิ่งที่ใหญ่กว่าตัวเรา ซึ่งก็คือระบอบการปกครองที่นักการเมืองทุกคนพูดว่ารัก ซึ่งหากนายกฯไม่ลาออก ก็เป็นหน้าที่ของ สส. ที่สนับสนุนนายกฯ (ไม่ว่าจากพรรคใด) ที่ต้องทำหน้าที่กดดัน และถ้านายกฯยังดื้อ ก็เป็นหน้าที่ สส. ต้องเสียสละด้วยการถอนตัวจากการสนับสนุนนายกฯ !
ทุกคนมีหน้าที่ของตน ผลักไปให้ผู้อื่นไม่ได้ ถ้าคุณมองว่านายกฯผิด แต่ไม่ทำในสิ่งที่คุณทำได้และควรทำ คุณก็ผิดเหมือนกัน!
ตามข่าว ณ เวลานี้ ดูเหมือนมติพรรค รทสช. เท่านั้นที่เป็นตามที่ควร คือยื่นเงื่อนไขให้เพื่อไทยเปลี่ยนนายกฯ แต่นาทีนี้ เพื่อไทยเขาชัดแล้วว่าเขาไม่เปลี่ยน แต่ รทสช. ยังไม่มีความชัดเจนใดๆ แม้วันนี้ผมรู้สึกมีกำลังใจจากฉันทามติในสังคม ที่มองเห็นและเข้าใจพร้อมกันทันทีว่าอะไรถูก อะไรผิด แต่ฉันทามตินี้ยังไม่ส่งผลอะไร เพราะนักการเมืองที่อยู่ในอำนาจไม่ให้ความสำคัญ
ที่ยังลุ้นอยู่คือคุณพีระพันธุ์กับคุณเอกนัฏ ในฐานะอดีตเพื่อนร่วมพรรคในสมัยที่เราเคยอยู่ประชาธิปัตย์ด้วยกัน ส่วนตัวผมอยากให้ทั้งสองท่าน “ถอยมาตั้งหลัก” สร้างพรรคขึ้นมาใหม่จากชื่อเสียงที่ดีมากที่ทั้งสองท่านสะสมมา
ในวันที่ตัวเลือกทางการเมืองน้อยมากอยู่แล้ว ทั้งสองท่านมีโอกาสที่จะเริ่มต้นใหม่เป็นตัวเลือกหลักให้กับหลายล้านคนในการเลือกตั้งครั้งหน้า
วันนี้ท่านอาจจะคิดเสียดายในอำนาจและตำแหน่งที่อยู่ในมือ แต่ผมเชื่อว่าการถอยออกมาตั้งหลักเป็นคุณูปการต่อประเทศชาติมากกว่า ประชาชนจำนวนมากผิดหวังมามากพอแล้ว
สรุป : รอกันต่อไปครับ ว่าหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ จะยอมพูดกับมนุษย์คนอื่นๆ ที่ไม่ใช่ทักษิณ กับแพทองธารไหม และสุดท้าย ความไว้เนื้อเชื่อใจที่ประชาชนมีต่อพรรครวมไทยสร้างชาติ จะจบลงตรงที่ใด!!
จิตกร บุษบา
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี