ต่อมสำนึกทางการเมืองของ สส.และนักการเมืองบ้านเรานั้น คิดแค่ว่า ขอมีเสียงสนับสนุนเพียงพอเกินกึ่งหนึ่งก็เป็นรัฐบาลได้แล้ว โดยไม่ได้คิดว่า ความชอบธรรมทางการเมืองยังมีอยู่หรือไม่
“แพทองธาร ชินวัตร”ที่วันนี้“ล้มละลาย”หมดทุกอย่าง ต้นทุนทางการเมืองไม่มีเหลืออยู่อีกแล้ว ไม่เพียงแต่ในประเทศเท่านั้น สื่อยักษ์ใหญ่สำนักต่างๆ ของตะวันตก ที่มีอิทธิพลต่อประชาคมโลก ไม่ว่าจะเป็น CNN, BBC, Reuters, AP หรือแม้กระทั่ง “Al Jazeera” ได้วิเคราะห์เจาะลึกกรณี“คลิปอัปยศ” และยังผูกโยงมาถึงการขึ้นสู่อำนาจของ“แพทองธาร” เด็กน้อยที่ไร้ซึ่งความรู้ความรู้สามารถและขาดประสบการณ์ ด้วยการชักใยของอดีตนักโทษคดีทุจริตโกงบ้านกินเมืองผู้เป็นบิดา ชนิดที่“ลากไส้”ออกมาตีแผ่ให้เห็นทุกขด
การดื้อดึงที่จะอยู่ในอำนาจต่อไปของ“แพทองธาร ชินวัตร” ผู้ต้องหาที่ถูกแจ้งความดำเนินคดีในข้อหา“ขายชาติ”ตามหมวด 3 ของประมวลกฎหมายอาญา จากการสนทางโทรศัพท์กับ“ฮุน เซน”ผู้ทรงอำนาจแห่งเขมร ซึ่งถูกนานาอารยประเทศหมายหัว และประณามหยามเกียรติไม่ต่างจาก“อาชญากร”ที่หากินกับ“ธุรกิจสีเทา”จนร่ำรวยมั่งคั่งนั้น ยังทำให้ประเทศชาติและประชาชนคนไทย ต้องตกถูกอยู่ในฐานะเป็น“ตัวประกัน”อีกด้วย
ที่กล่าวเช่นนั้น เพราะ ณ เวลานี้ “แพทองธาร ชินวัตร”ทายาทของ“ตระกูลชินวัตร” ที่มีสายสัมพันธ์แนบแน่นกับ“ตระกูลฮุน”ของเขมร ได้นำปัญหาส่วนตัว จะโดยการบงการหรือชักใยของ“ทักษิณ ชินวัตร”ผู้เป็นบิดา ซึ่งเป็นเพื่อนสนิทของ“ฮุน เซน”หรือไม่อย่างไรก็ตาม มามัดรวมจนกลายเป็นปัญหาทับซ้อนระหว่างไทยกับเขมรเพิ่มขึ้นมาอีก นอกเหนือจากปัญหาข้อพิพาทเรื่องดินแดนที่เขมรเป็นฝ่ายจุดชนวน จนกระทั่งในวันนี้สามารถนำขึ้นสู่ศาลโลกได้ตามแผนการณ์ที่วางไว้แล้วเป็นอย่างดีมาตั้งแต่ต้น
ทั้งนี้ก็เนื่องจาก พรรคเพื่อไทยซึ่งเป็นแกนนำรัฐบาล ได้ใช้องคาพยพทุกส่วนที่เป็นกลไกของบ้านเมือง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการใช้กระทรวงการต่างประเทศตอบโต้เขมร เพื่อลบล้างปัญหาส่วนตัวของ“แพทองธาร ชินวัตร” ที่ไปพลาดท่าเสียทีให้แก่อสรพิษอย่าง“ฮุน เซน” ดังจะเห็นได้จากการเชิญเอกอัครราชทูตกัมพูชาประจําประเทศไทยมารับหนังสือเพื่อประท้วง“ฮุน เซน” ก็เป็นการเชิญมาหลังเกิดกรณี“คลิปอัปยศ”
โดยอ้างกับเขมรว่า รัฐบาลฝ่ายไทยเห็นว่า กรณีปล่อยคลิปเสียง เป็นการกระทําที่ขัดต่อจรรยาบรรณและมารยาทพื้นฐานของการปฏิสัมพันธ์ระหว่างรัฐ ซึ่งไม่อาจยอมรับได้ และถือเป็นการทําลายความไว้เนื้อเชื่อใจระหว่างกัน อันส่งผลกระทบอย่างร้ายแรงต่อความสัมพันธ์ระหว่าง 2 ประเทศในการเป็นเพื่อนบ้านที่ดี รวมทั้งกระทบต่อความพยายามที่จะใช้กลไกทวิภาคีในการแก้ไขปัญหาของทั้ง 2 ฝ่าย ตามแนวปฏิบัติสากล
อันที่จริงแล้ว รัฐบาลไทยโดย“แพทองธาร ชินวัตร” ในฐานะนายกรัฐมนตรีแห่งราชอาณาจักรไทย และกระทรวงการต่างประเทศ ควรจะต้องเรียกเอกอัครราชทูตกัมพูชาประจําประเทศไทย มารับหนังสือประท้วงรัฐบาลเขมรทันที ตั้งแต่หลังเกิดเหตุปะทะที่บริเวณ“ช่องบก” อำเภอน้ำยืน จังหวัดอุบลราชานี เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคมเดือนที่แล้ว ว่ากองกำลังทหารของเขมรรุกล้ำดินแดนภายใต้อำนาจอธิปไตยของไทย พร้อมทั้งกดดันทุกทางให้เขมรถอนกำลังออกไปโดยเด็ดขาดอย่างไม่มีข้อแม้
ในขณะเดียวกัน ก็สมควรต้องเชิญคณะทูต และผู้แทนต่างๆ ประจำประเทศไทยมารับฟังปัญหาและชี้แจงข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นทั้งหมด ให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน อย่างทันท่วงทีตั้งแต่แรกด้วยเช่นกัน ไม่ใช่เพิ่งจะเชิญมาเมื่อวันที่ 16 มิถุนายนที่ผ่านมานี้เอง
และประการสำคัญ การเชิญคณะทูต และผู้แทนต่างๆ ประจำประเทศไทยมามารับฟังปัญหาและชี้แจงข้อเท็จจริง โดยกระทรวงการต่างประเทศของไทยนั้น ก็เพียงเพื่อแก้ต่างกรณี“คลิปอัปยศ” ที่เกิดจากความผิดพลาดของ“เด็กน้อย”ที่ชื่อ“แพทองธาร ชินวัตร” และทำให้ประเทศไทยต้องอับอายขายขี้หน้าไปทั้งโลก ว่านายกรัฐมนตรีแห่งราชอาณาจักรไทยเป็น“ไส้ศึก”ของเขมร จากบทสนทนาที่“ใส่ร้าย”กล่าวหาว่า พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาค 2 แห่งกองทัพไทย ยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามกับนายกรัฐมนตรีไทย และ“ฮุน เซน”ผู้ทรงอำนาจแห่งเขมร อันเปรียบเสมือนข้าศึกศัตรูที่เป็นคู่สงครามของไทยในเวลานี้ ซึ่งไม่ใช่เพราะเชิญมาเนื่องจากกรณีเขมรรุกล้ำเขตแดนไทยเป็นประเด็นหลัก
จะอย่างไรก็ตามแต่ นอกเหนือจากนั้น ไม่เพียงแต่“แพทองธาร ชินวัตร”ในฐานะผู้นำรัฐบาล จะลากดึงประเทศชาติและประชาชนคนไทยให้กลายเป็น“ตัวประกัน” เพราะความผิดพลาดของตนเองเท่านั้น พรรคร่วมรัฐบาลทุกพรรค โดยเฉพาะพรรครวมไทยสร้างชาติ, พรรคประชาธิปัตย์ และพรรคชาติไทยพัฒนา ก็ยังยอมที่จะ“กอดศพ”ให้เหน่าเหม็นตามไปด้วย เพียงเพื่อตำแหน่งแห่งหนในการเป็นรัฐมนตรี จึงไม่ประกาศถอนตัวออกจากการเป็นรัฐบาลผสมกับพรรคเพื่อไทย เหมือนอย่างที่พรรคภูมิใจไทยตัดสินใจด้วยความกล้าหาญเด็ดเดี่ยว
สรุปแล้ว เวลาของ“แพทองธาร ชินวัตร”ในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีนั้น เปรียบเหมือนลมหายใจของคนที่กำลังใกล้จะสิ้นอายุขัย เรียกว่าต้องนับลมหายใจเข้าออกกันชนิดวินาทีต่อวินาที
สำคัญที่สุดก็คือ ในวันเสาร์ที่ 28 มิถุนายนสุดสัปดาห์นี้ ประชาชนคนไทยนัด“รวมพลังแผ่นดิน”เพื่อปกป้องอธิปไตยของชาติ ณ อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ตั้งแต่เวลา 16.00 น.- 21.00 น. โดยจะเรียกร้องให้“แพทองธาร ชินวัตร”ลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีทันที และให้พรรคการเมืองที่เข้าร่วมเป็นรัฐบาลผสมถอนตัวทันทีด้วยเช่นกัน
ถึงวันนั้น“แพทองธาร ชินวัตร”และพรรคเพื่อไทย รวมทั้งพรรคการเมืองที่ยอมกอด“ศพเน่า” แลกกับเก้าอี้รัฐมนตรีและกับการได้อยู่ในอำนาจ คงได้เห็นพลังคนไทยเรือนแสนออกมาชุมนุมอย่างแน่นอน
เสียงขับไล่“แพทองธารออกไป” จะต้องดังกระหึ่มทั่วทั้งพระนครและแผ่นดินไทย จนกว่า“แพทองธาร ชินวัตร”จะยอมลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี !
รุ่งเรือง ปรีชากุล
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี