นางออง ซาน ซู จี วีรสตรีประชาธิปไตย ผู้วางตัวเหนือประธานาธิบดีแห่งสหภาพพม่า เดินทางมาเยือนไทยอย่างเป็นทางการเป็นครั้งแรกในฐานะผู้นำรัฐบาลจากการเลือกตั้ง ได้รับการต้อนรับชื่นชมอย่างสมเกียรติจากรัฐบาลไทย เรียกได้ว่าเธอได้รับดอกไม้ช่อใหญ่จากรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
แต่ด้วยวิธีการทูตหน้าไหว้หลังหลอก อ่อนหวานดังยาพิษอาบน้ำผึ้งทำให้เธอได้รับก้อนอิฐกองโตๆ จากคนไทยที่รู้เท่าทัน นักเลงคีย์บอร์ดบนโซเชียลฯต่อต้านประชดประชันเธอถล่มทลายตั้งแต่วันแรกที่นางเหยียบแผ่นดินไทย นำตัวอย่างบางข้อความที่ไม่หยาบคายเกินไปมาให้อ่าน
Anya Chong : เด็กแม่บ้าน (พม่า) ที่บ้านเล่าว่า คนพม่าที่บ้านไม่ชอบนางออง ซาน ซู จี แล้ว เพราะนางเปลี่ยนไปนางไม่ใช่คนพม่าเพราะไปฟังคำสั่งพวกฝรั่ง..
Tony Kow โพสต์ว่า “หวังว่านางออง ซาน ซู จี คงจะฉลาดและมีปัญญามากพอที่จะรู้เท่าทันว่าตัวเองเป็นหุ่นเชิด
หรือถูกหลอกใช้เป็นเครื่องมือของฝรั่งหรือไม่ คนพม่ารักศรัทธาและหวังในตัวซู จี มาก นางอาจเป็นวีรสตรีสำหรับคนพม่า แต่ไม่ใช่วีรสตรีสำหรับคนไทย นางอาจทำเพื่อผลประโยชน์ของพม่าซึ่งเป็นเรื่องที่ถูกต้องสำหรับคนที่มาเป็นผู้นำของเขา แต่ในขณะเดียวกันผลประโยชน์นั้นอาจกำลังขัดกับผลประโยชน์ของไทย นางมีภาพลักษณ์ที่เป็นบวกมากๆ ด้วยความเป็นสตรี (เพศที่อ่อนแอ) เคยถูกกระทำจากรัฐบาลทหารจนกลายเป็นสัญลักษณ์การต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย แถมยังมีรางวัลโนเบล การันตีอีกตะหาก พูดจาฉะฉาน มั่นอกมั่นใจ ซึ่งเข้าทางฝรั่งเลย ภาพลักษณ์นี้จึงกลายเป็นอาวุธชั้นดีที่พึงระวัง เป็นอาวุธที่ฝรั่งถนัดใช้มาก...”
Siriwanna Jill เขียนว่า “ยอมไม่ได้ เรื่องให้แรงงานหม่อง ต่อ Passport ในไทย ตามข้อเรียกร้อง ขอไม่ต้องกลับไปต่อที่บ้านเกิดเมืองนอน กระทบความมั่นคงแน่ เหตุผลที่ต้องให้กลับไปเพื่อเว้นวรรค การกลับมาทำงานช่วงระยะหนึ่ง ไม่ได้ฝังตัวอยู่ในไทยตลอด ซึ่งเป็นหลักสากล อีกทั้งยังมีผลต่อการได้สัญชาติ ตาม พ.ร.บ.สัญชาติ กำหนดให้แรงงานต่างด้าว ที่เข้ามาทำงานหากอยู่ 5 ปี จะถือว่ามีสิทธิในการยื่นขอสัญชาติไทย ฉะนั้นเมื่ออยู่ครบ 4 ปี จะต้องทำการผลักดันกลับประเทศ โดยครั้งแรกได้มีการกำหนดว่าแรงงานต่างด้าวจะต้องเดินทางกลับ และเว้นวรรค 3 ปี โดยทางการรัฐได้มองว่านานเกินไปทำให้นายจ้างเสียผลประโยชน์ จึงลดหลั่นลงมาเป็น 2 วัน หรือ 3 วัน โดยให้นายจ้างดำเนินการยื่นเอกสารนำเข้าใหม่อีกครั้ง นโยบายการจัดระบบแรงงานต่างด้าวที่ผ่านมาเป็นนโยบายที่เอื้อต่อการรักษาผลประโยชน์ให้แก่นายทุน นายจ้าง นักการเมือง ที่มีอิทธิพล ภาคเอกชน NGOs พยายามสนับสนุนปกป้องและต้องการยกระดับแรงงานต่างด้าว ด้วยเหตุผลต่างๆ เพื่อให้มีสิทธิ์ ทัดเทียมแรงงานไทย...”
มีข้อความที่ต่อต้านเธอด้วยภาษาที่รุนแรงอีกเป็นมากมาย และทุกข้อความจะชี้ไปว่านางเป็นนอมินีฝรั่ง อะไรทำให้คนจำนวนมากมองว่าเธอคือหุ่นเชิดของตะวันตก หรือเป็นเพราะการเคลื่อนไหวในทุกท่วงทำนอง เธอทำตามคำชี้แนะครอบงำของกลุ่มเอ็นจีโอ นักสิทธิมนุษยชน นักวิชาการที่รับงานรับเงินจากตะวันตก เพราะตั้งแต่นาทีแรกที่เหยียบแผ่นดินไทย นางถูกเอ็นจีโอ และนักสิทธิมนุษยชน ประกบติดตัวประจบสอพลอเพ็ดทูลราวกับขันทีกังฉินชี้นำชูสีไทเฮา
สื่อต่างประเทศทุกสำนักรายงานตรงกันว่า นางไม่พอใจมากที่ถูกกีดกันไม่ให้ได้กล่าวปราศรัยในที่แจ้งต่อแรงงานพม่าหลายหมื่นคนที่รอต้อนรับเธออยู่นอกห้องประชุมท่ามกลางสายฝน เธอประชดประชันกับนายแอนดี่ ฮอล เอ็นจีโอกลุ่มเพื่อสิทธิแรงงานต่างด้าวว่า “บอกคนของฉันด้วย ว่าฉันผิดหวังมากที่ไม่ได้ปราศรัย ไม่ได้รับฟังเรื่องทุกข์ร้อนพวกเขานอกอาคาร แต่ฉันรู้ปัญหาของพวกเขาดี”
นายแอนดี่ ฮอล หนึ่งในกลุ่มเอ็นจีโอ รับงานรับเงินจากตะวันตก เป็นเจ้ากี้เจ้าการปลุกระดมให้แรงงานพม่ามาร้องเรียนนางออง ซาน ซู จี ว่า ถูกเอารัดเอาเปรียบข่มเหงรังแกจากนายจ้าง กลุ่มของนายแอนดี่ ฮอล มีส่วนสำคัญในการเสนอข้อเรียกร้องให้พิสูจน์สัญชาติ รับรองสถานะแรงงานพม่าตลอดถึงการต่ออายุหนังสือเดินทางแรงงานพม่าในประเทศไทย
นางออง ซาน ซู จี เชื่อมั่นคำเพ็ดทูลของเอ็นจีโอ และ กลุ่มสิทธิมนุษยชนตะวันตกพวกนี้อย่างไม่มีข้อกังขา 5 ข้อเรียกร้องจากฝ่ายพม่าโดยเฉพาะอย่างยิ่ง เรื่องพิสูจน์สัญชาติ รับรองสถานะและให้สวัสดิการแก่แรงงานที่ไม่มีเอกสารรับรองสัญชาติเท่าเทียมกับแรงงานไทยทุกประการ จึงถูกมองว่าเป็นข้อเรียกร้องที่เกินความพอดี
นางออง ซาน ซู จี เป็นนักการเมืองที่อยู่บนหอคอยงาช้าง เธอไม่อาจรู้ได้ว่าแรงงานพม่าได้รับบริการด้านสุขภาพอนามัยเข้าถึงแพทย์พยาบาลในเมืองไทย ดีกว่าชาวพม่าที่อยู่ในต่างจังหวัดและรัฐติดชายแดนหลายร้อยเท่า เสียงเป่าหูจากตะวันตก ทำให้เธอหน้ามืดตามัวมองไม่เห็นว่า แรงงานพม่าใช้บริการสาธารณสุขในโรงพยาบาลรัฐในประเทศไทยแทบจะมากกว่าคนไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งโรงพยาบาลตามจังหวัดชายแดน ต้องรับภาระรักษาคนป่วยชาวพม่ามากกว่าคนไทย
เพราะความเคยชินกับบริบทสังคมตะวันตก เรียนหนังสืออยู่เมืองนอกตั้งแต่ชั้นประถมจนจบปริญญาโท และมีผัวมีลูกเป็นฝรั่ง นางออง ซาน ซู จี จึงไม่รู้จักสังคมชนบทพม่าดีเท่าที่ผู้นำควรจะเป็น นางไม่รู้ว่าการทำสำมะโนประชากรของพม่ายังไม่เป็นระบบ ไม่มีมาตรฐาน คนที่เกิดในสหภาพพม่ากว่า 40 เปอร์เซ็นต์ ไม่มีสำมะโนครัวไม่มีบัตรประชาชน
นายวิน มิตร์ ผู้สื่อข่าวบีบีซีชาวพม่า เปิดเผยว่ากลุ่มชาติพันธุ์พม่าที่มีถิ่นฐานอยู่ตามรัฐและจังหวัดชายแดน เช่นกะเหรี่ยง รัฐฉาน รัฐมอญ รัฐคะฉิ่น ทวาย เมาะละแหม่ง ฯลฯ ส่วนใหญ่ยังไม่มีบัตรประชาชน และคนที่ไม่มีหนังสือแสดงสัญชาติเหล่านี้แหละที่ประกอบกันเป็นส่วนใหญ่ของแรงงานพม่าทำมาหากินอยู่ในประเทศไทย
“แก้ปัญหาแรงงานพม่าในประเทศไทย เป็นการแก้ปัญหาปลายเหตุ ต้นเหตุของปัญหาอยู่ในพม่า แรงงานผิดกฎหมายที่ไม่มีเอกสารรับรองสถานะส่วนใหญ่เป็นมอญ กะเหรี่ยง ไทยใหญ่ ละฮู กะยา ฯลฯ เนื่องจากพวกเขาไม่มีเอกสารรับรองสัญชาติ จึงตกเป็นเครื่องมือหากินของเจ้าหน้าที่พม่าและไทย เหมือนกับโรฮีนจาที่อยู่ในมาเลเซียกว่า 150,000 คน ก็ไม่ได้รับสวัสดิการถูกเอาเปรียบเพราะไม่มีสัญชาติ” นายวิน มิตร์กล่าว
รัฐบาลพม่ากดขี่ข่มเหงกลุ่มชาติพันธุ์ ซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ในสหภาพพม่ามาตั้งแต่ได้รับอิสรภาพจากอังกฤษ แต่พอเปลี่ยนผ่านการปกครองจากเผด็จการทหารมาเป็นรัฐบาลพลเรือนของนางออง ซาน ซู จี ตะวันตกซึ่งอุปถัมภ์ค้ำชูนางตลอดมา เรียกร้องให้รัฐบาลสร้างสันติภาพและรับรองสถานะของกลุ่มชาติพันธุ์โดยเฉพาะอย่างยิ่งชาวโรฮีนจา นางออง ซาน ซู จี พยายามผลักภาระให้ประเทศไทยรับผิดชอบแทน เพราะเธอรู้ดีว่าการรับรองสถานะ และต่อหนังสือเดินทางในประเทศไทย คือทำให้ประเทศไทยต้องดูแลคนเกิดในพม่าซึ่งเป็นคะแนนเสียงของนางไปตลอดกาล
ภายใต้หน้ากากแม่พระ นางออง ซาน ซู จี พูดกับแรงงานพม่าว่า “ให้ซื่อสัตย์ต่อนายจ้างเคารพกฎหมายไทย แรงงานพม่าคือแขกของประเทศไทย ปัญหาต่างๆ กำลังได้รับแก้ไข”
นางออง ซาน ซู จี พูดกับนักศึกษาที่กระทรวงการต่างประเทศว่า “ไทยกับพม่า เป็นเพื่อนบ้านที่ไม่สามารถแยกออกจากกันได้จึงต้องเรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกันอย่างสันติสามัคคีและเป็นมิตรภาพ โดยประสบการณ์หลายปีที่ผ่านมาทำให้เรียนรู้คุณสมบัติของมนุษย์ที่สำคัญคือความเมตตากรุณา ซึ่งภาษาไทยและภาษาพม่าใช้รากศัพท์คำว่า “กรุณา เหมือนกัน” เราต้องเชื่อมั่นก่อนว่ามนุษย์ทุกคนมีความเท่าเทียมกัน หากมีความกรุณาแล้ว จะทำให้โลกมีสันติภาพได้”
สามบรรทัดสุดท้ายคือวาทะการทูตน้ำผึ้งอาบยาพิษที่แดกดันว่า “แรงงานพม่าไม่ได้รับการปฏิบัติเท่าเทียมคนไทย” ทั้งๆ ที่ความจริงการกดขี่ข่มเหง การเลือกปฏิบัติต่อเพื่อนมนุษย์ในพม่าร้ายแรงกว่าบ้านเราหลายเท่า สมควรแล้วที่นางได้รับก้อนอิฐจากคนที่กังขาว่า เธอเป็นวีรสตรีประชาธิปไตยฤๅไส้ติ่งตะวันตก
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี