ภายใต้แผนยุทธศาสตร์ชาติ นโยบายไทยแลนด์ 4.0 ตลอดจนแพ็กเกจกระตุ้นเศรษฐกิจทั้งหลายรวมถึง โครการ EEC กับงบฯลงทุนในเมกะโปรเจกท์ส่งท้ายรัฐบาล โดยรัฐพยายามจะบอกว่าที่ตลาดหุ้นที่พุ่งสูงขึ้น ยอด GDP ในประเทศจะสูงขึ้น แม้กระทั่งยอดจองรถหรูและคอนโดที่แพงที่สุดในประเทศก็มียอดสูงขึ้น สะท้อนว่าคนในประเทศกำลังรวยขึ้น เอาเข้าจริงเป็นเช่นนั้นหรือ?
กรณีเม็ดเงินที่ลงไปในโครงการประชารัฐ หากเทียบกับการบริหารนโยบายเศรษฐกิจแบบอุ้มคนรวย แล้วปิดหูปิดตาเหมือนมองไม่เห็นว่าธุรกิจขนาดเล็กไล่ไปจนถึงขนาดกลางต้องพังไปเพราะโดนรายใหญ่ถล่มไปแล้วเท่าไหร่?
ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา อย่าได้แปลกใจหากจะมีประชาชนสงสัยว่านโยบายของรัฐบาลที่บอกว่าทำเพื่อคนจน สุดท้ายเอาใจใครกันแน่? ยังไม่รวมถึง การบริหารรายกระทรวงที่มีคนตั้งคำถามว่าการตัดสินใจนโยบายเอื้อประโยชน์พ่อค้ามากกว่าประชาชนใช่หรือไม่? หรือบางนโยบายที่ดูเหมือนจะช่วยประชาชนในฐานะผู้บริโภคให้ซื้อสินค้าได้ในราคาถูกลงสุดท้ายช่วยใครกันแน่
อย่างกรณีปล่อยให้มีแนวคิดรถขายของเคลื่อนที่ว่าช่วยคนจนหรือแย่งอาชีพคนจน? หรืออย่างกรณีที่จะเตรียมแก้กฎหมายนำเข้าหมู ที่รัฐบาลเตรียมจะแก้ จากเดิมที่ห้ามใช้สารเร่งเนื้อแดงในการเลี้ยงสัตว์และนำเข้าเนื้อสัตว์นั้น มีความพยายามที่จะแก้ไขเพื่อเปิดช่องให้นำเข้าเนื้อหมูที่ใช้สารเร่งเนื้อแดงจากสหรัฐฯได้ใช่หรือไม่?
ซึ่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องย่อมรู้ดีว่า นอกจากประเด็นสารเร่งเนื้อแดงแล้ว ยังมีประเด็นการนำเข้าที่อาจจะส่งผลกระทบต่อผู้เลี้ยงหมู ที่จะทำให้แย่งตลาดเกษตรกรผู้เลี้ยงสุกรในประเทศ ซึ่งในช่วงปีที่ผ่านมาผู้ประกอบการเลี้ยงสุกรรายย่อยก็ประสบปัญหาหนักมากพอแล้ว จากราคาหมูตกต่ำผิดปกติ ซึ่งนี่ก็เป็นอีกประเด็นอันเนื่องมาจากข้อสงสัยจากกรณีที่รายใหญ่บางรายทุ่มตลาดให้ราคาต่ำลงอย่างผิดสังเกต จนทำลายระบบฟาร์มเลี้ยงหมูของรายย่อยจนหมดสิ้น? ถามว่าภาครัฐไม่รู้เรื่องจริงๆ หรือ?
นอกจากนี้ในกรณีของราคาปาล์มน้ำมันที่รัฐบอกจะเร่งแก้ไข ด้วยการเร่งระบายสต๊อกปาล์มที่มีอยู่ โดยใช้แนวทางการเร่งรัดส่งออกน้ำมันปาล์ม ขอความร่วมมือจากภาคเอกชนในการจัดเก็บสต๊อก แต่ภาคเอกชนไม่ได้ทำตามที่รัฐบาลบอก ซึ่งโยนกลับมาเป็นปัญหาของผู้ปลูกเช่นเดิม ประเด็นคือราคาปาล์มที่ตกต่ำนั้น กลับพบว่าอุตสาหกรรมการผลิตน้ำมันปาล์มยังคงได้กำไรอยู่ใช่หรือไม่ เพราะอุตสาหกรรมเลือกที่จะมาควบคุมต้นทุนของตัวเองโดยย้อนกลับไปกดราคาผู้ผลิตปาล์มดิบภายในประเทศ และยังสามารถเลือกซื้อปาล์มดิบจากผู้ผลิตเพื่อนบ้านได้ด้วย โดยรัฐบาลไม่ได้เข้ามาจัดการ?
ดังนั้นที่ดูเหมือนว่าการเกษตรในประเทศ ที่บอกว่าฟื้นตัวเศรษฐกิจทั้งสัตว์และพืชนั้น เอาเข้าจริงคนที่รวยมีแค่อุตสาหกรรมการเกษตร ผู้ค้าผู้ส่งออก หรือโรงเชือดหรือโรงผลิตน้ำมันปาล์มเท่านั้น ใช่หรือไม่? ในขณะที่เกษตรกรผู้เลี้ยงสัตว์รายย่อย และเกษตรกรผู้ปลูกปาล์ม ยังคงถูกขูดรีดเช่นเดิม จึงเป็นการฟื้นตัวเฉพาะรายใหญ่ แล้วรายใหญ่ก็ฟื้นตัวจากการถล่มรายเล็ก?
นอกจากนี้ต่อกรณีผลประกอบการธุรกิจทั่วไป โดยหลายฝ่ายพยายามโชว์ตัวเลขของผลประกอบการตลาดหลักทรัพย์ว่าดีขึ้น ขณะที่ตัวเลขดัชนีภาพรวมภาวะตลาดหลักทรัพย์ไทยเมื่อเดือน ก.พ. ที่ผ่านมา พบว่า ตัวเลขการขยายตัวเพิ่มขึ้นอยู่ที่ร้อยละ 4.5 ซึ่งสะท้อนว่าเศรษฐกิจดีขึ้นนั้น เอาเข้าจริงหากเจาะไปดูผลประกอบการของบริษัทขนาดเล็กและขนาดกลางในตลาด กว่า 163 บริษัท ยังคงปรับตัวลดลงและติดลบเพิ่มมากขึ้น ถึงแม้ว่าจะมีมูลค่าที่น้อย แต่จำนวนที่ได้รับผลกระทบมากกว่าบริษัทที่รวยขึ้น
นี่ยังไม่นับ SMEs อีกมากที่กำลังมีปัญหาในตอนนี้ นั่นกำลังสะท้อนความเป็นจริงของภาคอุตสาหกรรมและธุรกิจ ที่ไม่ได้เอื้อต่อการทำมาหากินของชนชั้นกลางจนถึงล่างเลย
เมื่อดูตัวเลข GDP ไตรมาสที่ 4 ของปี 2560 ที่ขยายตัวเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 4 และในปี 2561 จะขยายไปได้ถึงร้อยละ 4.6 คงเป็นข่าวดีของคนไทยทั้งประเทศที่จะมีความเป็นอยู่ทางเศรษฐกิจที่ดีขึ้นหรือไม่? มีคนพยายามให้ไปดูที่ยอดจองรถในงาน Motor Show 2561 ที่สูงถึง 36,941 คัน เพิ่มขึ้นถึง 5,910 คัน จากเมื่อปี 2560 ว่านี่คือสัญญาณของเศรษฐกิจที่ดีขึ้นแล้ว
จากยอดดังกล่าวถามว่าใครรวยขึ้นกันแน่? เมื่อเข้าไปดูการเติบโตในตลาดหลักทรัพย์ ปรากฏว่าอุตสาหกรรมที่เติบโตอย่างมาก คืออุตสาหกรรมยานยนต์ โดยรถยนต์ที่ผลิตในประเทศล้วนเป็นรถยนต์ของบริษัทต่างประเทศ ดังนั้นคนที่รวยจริงคือต่างชาติ หากไทยคงนึกถึงผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ ซึ่งใครเป็นเจ้าของ? โดยในช่วงที่ผ่านมา ถึงขนาดมีการวางแผนขยายและซื้อกิจการในต่างประเทศเพิ่มมากขึ้น ใช้เงินกว่า 5,000 ล้านบาท และกำลังจะกลายเป็นอีกธุรกิจหนึ่งที่เข้าสู่การเมืองหรือไม่?
อนึ่งจำนวนรถยนต์ที่เพิ่มมากขึ้นของชนชั้นกลาง ที่ตามมาด้วยภาระหนี้จากการผ่อนรถ ในขณะที่ระบบเศรษฐกิจของรัฐบาลที่บอกว่ากำลังช่วยคนระดับฐานราก อย่างโครงการประชารัฐ ที่ก็ยังไม่ชัดเจนว่าสุดท้ายแล้วคนได้ประโยชน์คือใครกันแน่?
ในขณะที่โครงการช็อปช่วยชาติ ที่ชัดเจนขึ้นทุกวันว่าช่วยชาติหรือช่วยใคร? เพราะคนที่ได้ประโยชน์ก็เป็นเพียงกลุ่มคนที่เสียภาษีเท่านั้น ซึ่งก็ไม่ใช่จำนวนที่เยอะเท่าไหร่ จากผู้ที่เสียภาษีทั้งหมด 10.69 ล้านคน มีผู้เสียภาษีที่ได้รับประโยชน์จากโครงการนี้มีเพียง 1.4 ล้านคนเท่านั้น ความช่วยเหลือและความต้องการที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจจากการจับจ่ายใช้สอยของประชาชนอาจจะไม่ประสบผลสำเร็จอย่างที่รัฐบาลคาดการณ์เอาไว้ โดยเฉพาะร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการก็เป็นห้างค้าปลีกและค้าส่งรายใหญ่ที่สามารถออกใบกำกับภาษีได้ แต่ไม่ได้รวมร้านค้าเล็กๆ ในชุมชนเอาไว้ โครงการนี้เป็นการตอกย้ำว่าธุรกิจโชห่วยของชาวบ้านกำลังจะตายใช่หรือไม่? ขณะที่ผู้ค้ารายใหญ่ได้ประโยชน์ เช่นเดียวกับอุตสาหกรรมยานยนต์ที่ไม่กี่รายได้ประโยชน์มากที่สุด ไม่ใช่ผู้ซื้อหรือผู้ค้ารายย่อย
โครงการเมกะโปรเจกท์ทิ้งทวนอย่าง EEC ที่ดูเหมือนว่ารัฐบาลนี้จะจริงจังกับการฟื้นฟูเศรษฐกิจ แต่ไม่รู้ว่าด้วยความรีบร้อน หรือจงใจให้เป็นแบบนี้? ผลที่ออกมาก็คือกฎหมาย ตลอดจนกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องกับ EEC ดูจะมีความแปลกประหลาดไปในทางเอื้อให้กับเอกชน และนักลงทุนใหญ่ต่างชาติเป็นหลักหรือไม่? ตลอดจนการยกเว้นกฎหมายปกติหลายเรื่อง โดยอ้างความรวดเร็วการดำเนินการ? หรือสุดท้ายจะเป็นการเปิดช่องระยะยาว? ในขณะที่คนที่อยู่ในพื้นที่นอกจากไม่ได้ประโยชน์ อาจเสี่ยงต่อการโดนแย่งที่ทำมาหากิน? ถือเป็นการพัฒนาโดยส่วนกลางเพื่อส่วนกลาง ไม่ใช่พัฒนาร่วมเพื่อท้องถิ่นอย่างที่เคยประกาศหรือไม่? เช่นเดียวกับการประกาศนโยบายไทยแลนด์ 4.0 เพื่อให้ไทยก้าวสู่โลกเศรษฐกิจดิจิทัล ไม่รู้ว่าเป็นที่ความยังไม่เข้าใจในเนื้อหาที่แท้จริง หรือดำเนินการทางกฎหมายไม่ทัน หรือแท้จริงแล้วเจตนาให้เป็นแบบนี้?
ผลที่เกิดขึ้นจึงไม่ได้ช่วยให้ภาคธุรกิจเดิมปรับตัวได้ และเศรษฐกิจก็ไม่ได้ขยายขึ้น แต่เป็นการเปิดโอกาสให้ธุรกิจที่เข้าถึงดิจิทัลได้ก่อน เข้ามาแทนที่ธุรกิจเดิม ในขณะที่รายเดิมที่ไม่ได้รับการสนับสนุนให้ปรับตัว และเมื่อรายได้ลดลง ก็ต้องปิดตัวไป ในขณะที่ธุรกิจดิจิทัลของต่างประเทศเข้ามารุกตลาดในไทยอย่างมากได้รับการสนับสนุนที่ดีจากรัฐบาล หากแต่ธุรกิจเหล่านั้นไม่ได้จดทะเบียนจัดตั้งในประเทศไทย การเก็บภาษีของรัฐจึงทำได้ไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย สรุปความก็คือไทยแลนด์ 4.0 ทำให้เกิดการแทนที่ธุรกิจเก่า โดยเศรษฐกิจโดยรวมไม่ได้ขยายตัวเพิ่มแต่ในทางกลับกันที่ธุรกิจที่เข้ามาแทนที่ โดยมากก็เป็นนักลงทุนต่างชาติ และสุดท้ายก็ไม่ได้เสียภาษีให้รัฐอยู่เช่นเดิม
การเลือกบริหารเศรษฐกิจโดยตัวเลขรวม ไม่รู้ว่าเป็นความไม่เข้าใจ? หรือไม่สนใจเศรษฐกิจฐานราก? หรือต้องการให้เป็นแบบนี้? ผลที่เกิดขึ้นทำให้คนรวยในประเทศยิ่งรวยขึ้น นายทุนต่างชาติเข้ามาง่ายขึ้น ในขณะที่คนจนได้รับการเหลียวแล แค่เพียงเศษเสี้ยวจากเงินของนโยบายให้อยู่รอดไปวันๆ เท่านั้น...
“...ความเงียบคือการยอมรับโดยดุษณี...”
คำคมโกวเล้ง จากเรื่องวีรบุรุษสำราญ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี