น่าสนใจไม่น้อย ที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. นำทัพรัฐมนตรีกลุ่มกระทรวงเศรษฐกิจ พร้อมด้วยผู้บริหารภาคเอกชน เดินสายโรดโชว์ประเทศอังกฤษ-ฝรั่งเศส ยักษ์ใหญ่ในสหภาพยุโรป (EU) ระหว่างวันที่ 18-26 มิถุนายนนี้ นับเป็นก้าวสำคัญ ที่ประเทศไทยเริ่มเดินหน้าเชิงรุก หลังจากอียูส่งสัญญาณฟื้นความสัมพันธ์ไทยทุกระดับ เมื่อเดือนธันวาคมที่ผ่านมา
ต้องยอมรับว่าเศรษฐกิจไทยมีปัญหากับอียูมากโดยเฉพาะหลังการรัฐประหาร เพราะความคิดของอียูก็คงไม่มั่นใจและรังเกียจที่จะคบค้ากับประเทศที่ไม่ได้เป็นประชาธิปไตย แต่การประกาศโรดแมปเลือกตั้งที่ชัดเจนขึ้น แม้หลายฝ่ายยังรู้สึกไม่มั่นใจก็ตาม ก็เป็นผลให้อียูเปิดโอกาสให้ประเทศไทยมากขึ้น แต่ยังสงวนท่าทีที่จะลงนามการค้าเสรี (FTA) เพื่อปลอดภาษีระหว่างกันกับรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งเท่านั้น
ปัญหาเศรษฐกิจไทยกับอียู จะโทษรัฐบาลรัฐประหารอย่างเดียวคงไม่ได้ เพราะการลงนามเอฟทีเอระหว่างไทยกับอียู มีความพยายามผลักดันมาตั้งแต่ก่อนรัฐประหารแล้ว ตั้งแต่สมัยรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่รู้ว่าล่วงหน้าว่าไทยกำลังจะเสียสิทธิพิเศษทางศุลกากรกับอียู (Generalized System of preferences : GSP) แต่การเยือนต่างประเทศบ่อยครั้งของนางสาวยิ่งลักษณ์ก็ไม่ได้ทำให้เกิดการลงนามการค้าเสรีจนกระทั่งรัฐประหาร และไทยต้องเสียสิทธิ GSP ไปในที่สุดตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2558 เนื่องจากเป็นประเทศกลุ่มรายได้ปานกลางค่อนข้างสูงเป็นเวลา 3 ปีติดต่อกัน
เมื่อเสียสิทธิ GSP ก็ทำให้ภาษีขาเข้าอียูที่ไม่ต้องเสียหรือเสียน้อย ก็กลายมาต้องเสียภาษีเต็มๆ ทำให้ราคาสินค้าไทยปรับราคาขายสูงขึ้นเมื่อเทียบกับคู่แข่งชาติอื่น สินค้าที่กระทบตรงก็เช่นอาหารแช่แข็ง เครื่องปรับอากาศติดฝาผนังของไทยที่มีอียูเป็นตลาดหลัก ต้องได้รับผลกระทบเสียดุลการค้ามาตั้งแต่ปี 2558 จนถึงทุกวันนี้
กลับมาดูที่ภารกิจการเยือนของ พล.อ.ประยุทธ์ ครั้งนี้ หากไม่มั่นใจจริงๆก็คงไม่ยกทีมรัฐมนตรีออกไปเดินสายถึง 9 วัน ทั้งที่อียูก็เคยส่งสัญญาณมาแล้วว่าจะไม่ลงนามกับรัฐบาลรัฐประหาร ...แสดงว่ารัฐบาลไทยก็ต้องมีอะไรดีอยู่ไม่น้อย ที่ทำให้นางเทเรซา เมย์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษ และนายเอ็มมานูเอล มาครง ประธานาธิบดีฝรั่งเศส ยอมพบปะหารือกับผู้นำประเทศรัฐประหารอย่าง พล.อ.ประยุทธ์ ในการเยือนครั้งนี้ คงเป็นเช่นเดียวกับการเข้าหารือกับนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ที่ทำเนียบขาว อย่างเป็นทางการ หลังจากไม่มีผู้นำไทยคนไหนได้รับเชิญมากว่า 12 ปี จนกระทั่งเป็นพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
เขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor : EEC) น่าจะเป็นคำตอบสำคัญ เพราะเป็นเรื่องที่พล.อ.ประยุทธ์ จะปาฐกถาเชิญชวนนักลงทุนมาลงทุนใน EEC โดยเฉพาะอุตสาหกรรมซ่อมบำรุงและผลิตชิ้นส่วนอากาศยาน ซึ่งเป็นหนึ่งใน 10 กลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมายที่จะได้รับการสิทธิพิเศษทางการลงทุนยกเว้นภาษีนิติบุคคล
ผ่านบีโอไอ พร้อมกับการปรับโครงสร้างพื้นฐานในพื้นที่รวมถึงการยกระดับสนามบินอู่ตะเภาเป็นท่าอากาศยานเชิงพาณิชย์เต็มรูปแบบ โดยมีกลุ่มเป้าหมายบริษัทในฝั่งยุโรปอย่าง แอร์บัส หรือ โรลส์-รอยซ์เพื่อวางฐานการผลิตหลักในภูมิภาคเอเชียไว้ที่ประเทศไทย ทั้งนี้ อียูก็ต้องคิดดีๆ กับโอกาสนี้เพราะนายกฯประยุทธ์ก็เพิ่งไปอเมริกามา บริษัท โบอิ้งก็คงไปรับทราบความเคลื่อนไหวนี้เช่นกัน
แม้การโรดโชว์ดึงดูดนักลงทุนครั้งนี้ จะทำโดยคณะผู้นำประเทศรัฐประหาร แต่เมื่อเทียบกับสิทธิประโยชน์ ที่จะได้จากการลงทุนใน EEC เช่นการยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลสูงสุดถึง 15 ปี,การยกเว้นอากรขาเข้าเครื่องจักร วัตถุดิบต่างๆ, สิทธิ์การเช่าที่ดินราชพัสดุได้สูงสุดถึง 99 ปี, หรืออัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาร้อยละ 17 ที่ต่ำที่สุดในอาเซียน ซึ่งทั้งหมดเหล่านี้คงเป็นอีกเหตุผลสำคัญที่ได้รับความสนใจจากอียู
แต่คำถามที่เกิดตามมาคือ นอกจากการลงทุนแล้ว ประเทศจะได้อะไรตามมาจากการเยือนครั้งนี้ ?
1) การค้าเสรีไทย-อียู : อย่างที่เปิดหัวไปขั้นต้นแล้ว ถึงความจำเป็นที่ต้องทำ FTA ทดแทนการเสียสิทธิ GSP เพื่อเพิ่มดุลการค้าให้กับสินค้าไทยที่จะส่งออกไปอียู แต่ก็ติดปัญหาว่า เขาจะไม่ยอมลงนามกับประเทศที่รัฐบาลไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง ซึ่งเรื่องนี้ต้อง “วัดกึ๋น” ผู้นำฝ่ายไทยและทีมงาน ว่าจะทำให้ท่าทีของอียูเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นได้หรือไม่
2) สิทธิบัตรยา : เรื่องนี้ใครเป็นปัญหากับอียูมาตลอด เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ทีมผู้นำไทยต้องแก้ปัญหาและทำความเข้าใจกับประเทศในอียูให้ชัดเจน เพราะยังเป็นปัญหาเกี่ยวกับขั้นตอนการขึ้นตำรับยาต่างประเทศของฝ่ายไทยล่าช้า จนเป็นข้ออ้างให้บริษัทยาต่างประเทศต่ออายุสิทธิบัตรยายาวขึ้น ระยะเวลาที่จะอนุญาตให้คัดลอกยามาขายในราคาถูกก็จะยิ่งยาวนานออกไปอีก
ในสังคมโลก แม้ใครๆ จะมองว่ารัฐบาลทหารเลวร้าย แต่สำหรับรัฐบาลไทยก็คงมีอะไรน่าสนใจไม่น้อย ที่ได้การตอบรับทั้งจากสหรัฐอเมริกา อังกฤษและฝรั่งเศส เรียกได้ว่า “พอดูรวมรวมแล้วมีเสน่ห์”ก็คงจะไม่ผิดเพี้ยนอะไร
การไปเยือนโดย พล.อ.ประยุทธ์ และทีมงานคราวนี้ คงเป็นการไปจีบๆ ไว้ก่อน เรายังเป็นประเทศที่มาจากการรัฐประหาร ทำให้อียูไม่อาจลงนามในข้อตกลงทางการค้ากับไทยอย่างเป็นทางการได้แต่หากเป็นรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง ก็น่าจะกำจัดจุดอ่อนได้มาก ถ้าตอนนี้รัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์มาจากการเลือกตั้ง ก็คงจะได้เห็นเศรษฐกิจเติบโตได้มากกว่านี้เยอะ ... แต่อย่างน้อยที่สุด ขอแค่อย่าเลื่อนโรดแมปเลือกตั้งออกไปอีก เพราะยิ่งยื้อออกไป ประเทศไทยจะยิ่งเสียประโยชน์นานขึ้น
ไปอีก
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี