นายกฯ เริ่มย้ำและเผยความชัดเจนในเรื่องโรดแมปการเลือกตั้งและล่าสุดประกาศแล้วว่า จะเกิดการเลือกตั้งภายหลังพระราชพิธีฯซึ่งก็น่าจะสอดคล้องกับกระบวนการทางกฎหมายและโรดแมปอยู่แล้ว ในมุมของรัฐบาลก็คิดว่า การจะเตรียมเข้าสู่โหมดเลือกตั้ง ก่อนจะปลดล็อกใดๆ ก็อยากจะฟังความเห็นของพรรคการเมืองต่างๆ เพื่อมาแลกเปลี่ยนกันต่อกฎกติกาที่ออกไปแล้ว และกฎกติกาที่ยังค้างอยู่รวมถึงกระบวนการที่เกี่ยวกับการเลือกตั้งที่ยังสามารถตัดสินใจได้ ให้พรรคการเมืองต่างๆ มาร่วมให้ความคิดเห็น ก่อนปลดล็อกเตรียมการเลือกตั้ง ในขณะที่มุมของพรรคการเมืองมองว่า เมื่อเตรียมถอยหลังนับวันเลือกตั้งก็ควรจะปลดล็อกทุกอย่างให้เข้าสู่กระบวนการปกติทางการเมือง ส่วนข้อกฎหมายที่ไม่เห็นด้วย ก็เตรียมไปแก้ภายหลังเลือกตั้ง จึงไม่มีผู้ใดใส่ใจที่จะเข้าร่วมให้ความคิดเห็น และจะเห็นได้ว่ามีทั้งพรรคที่ประกาศว่า จะเข้าร่วมและไม่เข้าร่วมไปแล้ว
ส่วนหนึ่งต้องยอมรับว่า การเลื่อนเลือกตั้งหลายครั้งหลายครานั้นบั่นทอนความน่าเชื่อถือของพรรคการเมืองต่อรัฐบาลไปไม่น้อย ความคิดที่จะประสานเพื่อวางแผนร่วมกันก่อนการเลือกตั้งของรัฐบาลจึงเป็นสิ่งที่ไม่น่าเกิดขึ้นได้ ในขณะที่ความเชื่อมั่นของประชาชนก็แบ่งเป็นสองช่วง ในช่วงขวบถึงสองขวบปีแรกความรู้สึกของประชาชนต่อสถานะรัฐบาลแตกต่างอย่างมากกับทุกวันนี้
อะไรคือความเปลี่ยนแปลงของศรัทธาประชาชน? อะไรคือการเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมการตัดสินใจของรัฐบาล คสช.?
สิ่งแรกที่รัฐบาล คสช. ต้องการจะทำก็คือการปฏิรูปประเทศ ตามแผนปฏิรูประเทศ 6 ด้าน แต่เมื่อเวลาผ่านมานอกจากจะยังไม่มีการปฏิรูปใดๆ ที่ชัดเจนแล้ว ก็ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเราจะปฏิรูปอะไร? และด้วยวิธีใด? เรื่องนี้มองได้ว่าโจทย์นั้นถูกต้องแล้ว แต่วิธีการนั้นก็ยังไม่รู้ว่าถูกหรือไม่? ถ้าหากจะให้ความเป็นธรรมกับ คสช.ก็คือ ก็ไม่สามารถตอบไม่ได้ว่าผลงานเรื่องปฏิรูปนั้นดีหรือไม่ดี? จะพูดว่าไม่ดีก็ไม่ได้ เพราะมันยังไม่เห็นผลงานที่เป็นรูปธรรม ซึ่งการปฏิรูปอาจจะเกิดขึ้นในเดือนสุดท้ายก็ได้ แต่อย่างน้อยก็ต้องยอมรับว่าตอนนี้มันยังไม่เห็นอะไรเลย?
สิ่งที่สองคือการจัดทำและบังคับใช้รัฐธรรมนูญ ปี’60 ที่เห็นได้ชัดก็น่าจะเป็นเรื่องของความรวดเร็วในการจัดทำ ซึ่งดูเหมือนจะเร็วยิ่งกว่าเรื่องการปฏิรูปหรือแผนยุทธศาสตร์ชาติเสียอีกใช่หรือไม่? และเรื่องการทำประชามติ ที่ผลของประชามติก็ได้พิสูจน์แล้วว่า ประชาชนนั้นเห็นด้วยกับรัฐธรรมนูญ ถึงแม้ว่าจะไม่ได้เปิดให้มีการประชาสัมพันธ์และวิพากษ์วิจารณ์จากภาคส่วนอื่นๆ ได้อย่างเต็มที่ แต่ก็ทำให้เห็นว่า ได้เปิดโอกาสให้ประชาชนได้ตัดสินใจแล้วและมีประชาชนที่เห็นด้วยจำนวนไม่น้อย
สิ่งที่สามคือ การแก้ปัญหาความขัดแย้ง กระบวนการคิดที่จะลดความขัดแย้งทางการเมือง ซึ่งก็เริ่มต้นมาได้ด้วยดี โดยวิธีตรึงขาตรึงแขนผู้ชกทุกฝ่ายให้หยุดนิ่งอยู่กับที่ ในตอนต้นก็ดูเหมือนจะเป็นการหยุดสงครามแบบแช่แข็งอย่างกะทันหันซึ่งต้องยอมรับว่า ส่งผลดีเบื้องต้นต่อเศรษฐกิจ และความเชื่อมั่นในระดับหนึ่งเท่านั้น เพราะในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2557ประเทศเราสูญเสียความเชื่อมั่นและเกิดวิกฤตการณ์อย่างรุนแรงในด้านเศรษฐกิจที่เกิดจากความไม่แน่นอนทางการเมืองภายในประเทศ ในขณะที่ครึ่งปีหลังปี 2557 ในมุมมองของนักลงทุนต่างชาติ แม้จะมองว่าเราไม่มีความเป็นประชาธิปไตยอย่างชัดเจนก็จริง แต่มีความแน่นอนทางการเมืองมากขึ้นกว่าช่วงก่อนหน้า ประกอบกับโรดแมปการเลือกตั้งที่ประกาศไว้ในตั้งแต่ปีแรกของ คสช.ว่าจะทำอะไรบ้าง? เป็นเหตุให้สถานการณ์ต่างๆ ชัดเจนขึ้นต่อนักลงทุนต่างชาติ ซึ่งดูเหมือนกระบวนการทุกอย่างน่าจะจบได้ไม่เกิน 2 ปี พร้อมรัฐธรรมนูญและแผนปฏิรูปประเทศของสปท. ซึ่งดูเหมือนทุกคนจะเข้าใจเราว่า เราต้องการเวลาพักหายใจและได้ปรับตัว ซึ่งตามโรดแมปที่กำหนดไว้ก็คือ ไม่เกิน 2 ปี ก็น่าจะพอสมน้ำสมเนื้อกับรัฐบาลชั่วคราวใช่หรือไม่?
เรื่องเศรษฐกิจก็ต้องยอมรับว่า รัฐบาลชุดนี้เข้ามาในช่วงที่ประเทศกำลังเผชิญกับภาวะเศรษฐกิจอย่างน้อย 2 อย่าง อย่างแรกก็คือภาวะเศรษฐกิจที่ขาดความเชื่อมั่นหลังความขัดแย้งยาวนานในการต่อสู้ทางการเมืองภายในประเทศถึง 1 ปี ระหว่างกปปส.กับรัฐบาลน.ส.ยิ่งลักษณ์ โดยการดำเนินนโยบายหลายๆ อย่างเป็นเพียงทำให้ผ่านๆ ไป ขาดการตัดสินใจเชิงยุทธศาสตร์ เนื่องจากก่อนหน้าที่จะเกิดรัฐประหาร ประเทศเราขาดสภาเป็นช่วงระยะเวลาหนึ่ง การดำเนินการที่เกิดขึ้นก็เป็นเพียงรัฐบาลเข้ามารักษาการเท่านั้น และในช่วงท้ายของรัฐบาลน.ส.ยิ่งลักษณ์ ประเทศก็ประสบกับวิกฤติเรื่องการส่งออกตกต่ำอย่างต่อเนื่อง ประเด็นที่ 2 ปัญหาที่รัฐบาลคสช.ต้องแบกรับ คือ หนี้จากโครงการรับจำนำข้าวซึ่งกระทบต่อฐานะเงินคงคลังเป็นอย่างมาก และเมื่อเข้ามาแล้วก็ยังต้องเผชิญปัญหาการจัดการเรื่องภัยแล้ง ซึ่งต้องยอมรับว่าในขวบปีแรกก็ถือว่ารัฐบาลจัดการกับปัญหาเหล่านี้ได้ระดับหนึ่ง แม้อาจจะไม่โดนใจประชาชนหรือเกษตรกรเท่าใดนัก แต่ถ้าเทียบกับภาระปัญหาแล้ว ก็ถือว่ารัฐบาลประคองให้ผ่านวิกฤติเหล่านั้นไปได้
แต่ทั้ง 4 ปัจจัยนี้ถูกคาดหวังว่าจะแก้ปัญหาให้จบลงได้ภายในเวลา 2 ปี หรือประชาชนจะอดทนต่อปัญหาใน 2 ปี หลังจากเกิดรัฐประหาร และคาดหวังว่ารัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง ซึ่งเป็นรัฐบาลที่น่าจะเข้าใจปัญหาของประชาชนได้จริง เนื่องจากใกล้ชิดประชาชน และรับรู้ปัญหาและความต้องการของประชาชนมาอย่างต่อเนื่อง จะเข้ามาต่อยอดและแก้ปัญหาได้ทันทีที่มีการจัดตั้งรัฐบาล แต่เป็นที่น่าคิดว่า ปัจจัยอะไรที่ทำให้เงื่อนไขในเรื่องเวลานั้นเปลี่ยนไป? และเมื่อเงื่อนเวลาล่วงเลยแล้ว จะเกิดผลกระทบกับใครบ้าง?
ในฐานะกรรมการห้ามมวยของรัฐบาลชั่วคราว กลายมาเป็นรัฐบาลจริง ก็กินระยะเวลาเท่ากับรัฐบาลปกติคือ 4 ปี บทบาทความคาดหวังของประชาชนย่อมไม่เหมือนเดิมใช่หรือไม่? แต่ประสิทธิภาพของรัฐบาลที่ถูกสร้างมาเพื่อเป็นรัฐบาลชั่วคราวจะสามารถทำงานบริหารเศรษฐกิจได้เท่ากับรัฐบาลระยะยาวหรือไม่? ความคาดหวังต่อการปฏิรูปแม้ให้เวลาในเวลาที่เพิ่มขึ้นก็ยังไม่สามารถยังไม่สามารถหาแนวทางหรือค้นพบวิธีแก้ปัญหาหรือปฏิรูปประเทศอย่างแท้จริงได้? จึงเกิดข้อสงสัยว่า เรากำลังเดินจากปัญหาหนึ่ง ไปสู่อีกปัญหาหนึ่งหรือไม่? ด้วยเหตุนี้จึงเกิดคำถามว่า การที่รัฐบาล คสช. วางตัวเป็นกรรมการห้ามมวยอยู่ อาจจะเป็นผู้เล่นเสียเอง และการใช้วิธีตรึงการแช่งแข็งการเมืองนานๆ จนทำให้กลายเป็นว่าไปออกกฎควบคุม ตั้งแต่รัฐธรรมนูญ กฎหมายเลือกตั้ง, ไพร์มารีโหวต และคำสั่งคสช.ที่มีผลต่อพรรคการเมือง ซึ่งทำให้คิดต่อไปว่าการที่คสช.ไปตรึงปัจจัยทั้ง 4 อย่างเอาไว้อย่างนั้น จะดีต่ออนาคตจริงๆหรือ?
ในเมื่อท้ายที่สุด คสช.ก็ต้องมอบอำนาจให้กับคนที่เข้ามาบริหารประเทศใหม่ แล้วอะไรจะบอกได้ว่าเขาจะสานต่อได้จริง?เหตุใดจึงไม่เจรจาเงื่อนไขที่มีปัญหาเหล่านี้เอาไว้ในวันที่คสช.ยังมีอำนาจ เพราะเมื่อถึงเวลาที่ปัญหาเกิดขึ้น คสช.จะได้จัดการแก้ไขได้เลย จึงเป็นที่น่ากังวลว่า นักการเมืองที่เข้ามาบริหารต่อจะเป็นนักการเมืองที่ดีอย่างคสช. รวมทั้งจะเดินตามสิ่งที่คสช.คิดและทำค้างไว้ได้จริงหรือไม่? เพราะตอนนี้บางพรรคก็เริ่มประกาศแล้วว่า หากชนะการเลือกตั้ง จะเข้ามาล้างทั้ง 4 ปัจจัยนี้ออกให้หมด รวมไปถึงบางพรรคพูดชัดเจนว่า จะฉีกรัฐธรรมนูญที่มาจากรัฐบาลทหาร แบบเหมาเข่งทั้งสิ่งที่ควรปรับและสิ่งที่ไม่ควรปรับ เพราะฉะนั้นสิ่งที่ทำมาเพื่อให้การเมืองเป็นการเมืองที่ดีในอนาคตก็จะหายไปพร้อมการเลือกตั้ง ทำไมไม่พูดกันตามหลักความจริงว่า ในบรรดาเครื่องมือทั้ง4 อย่างที่ใช้ตรึงนักการเมืองเอาไว้ กฎเกณฑ์หรือรายละเอียดปลีกย่อยอะไรที่มันจำกัดเกินไป
สิ่งที่ประชาชนคาดหวังต่อ คสช.ก่อนหน้ามีเพียงการประคองประเทศให้เข้าที่เข้าทางพอเดินไปได้เท่านั้น หาก คสช.ทำได้ตามระยะเวลาที่กำหนดไว้ตอนต้นได้ ก็น่าจะเป็นเรื่องดีแต่เมื่ออยู่นานขึ้นแล้ว ความคาดหวังของประชาชนย่อมมากกว่าเดิม อย่าทำให้ความหวังของประชาชนต้องเหนื่อยฟรี เกิดคำถามว่าแล้วบทบาทของรัฐบาลในเรื่องการแก้ปัญหาเศรษฐกิจนั้นทำอะไรไปบ้าง? การลงทุนประชานิยมแบบเดียวกับนักการเมืองก่อนหน้านั้นมันถูกต้องแล้วหรือไม่? ซึ่งการจะทำโครงการที่เกี่ยวกับการฐานรากได้นั้น ผู้แก้ปัญหาจะต้องเข้าใจและลงไปรับรู้ถึงปัญหาที่แท้จริงของประชาชน จุดนี้ถือว่าเป็นจุดอ่อนที่น่าเป็นห่วงของแต่ละนโยบายในช่วงหลังอันที่จริงเมื่อตั้งใจจะเตรียมเลือกตั้งแต่ละฝ่าย ควรจะหันหน้าเข้าหากัน แล้วปรับแก้กันเสียตั้งแต่ตอนนี้
ดีกว่าปล่อยให้ไปถึงวันที่ฝ่ายการเมืองเข้ามาแล้ว ก็รีบมาแก้กันแบบยกเข่ง เมื่อถึงวันนั้น ก็อาจจะมีการสอดแทรกบางอย่าง เช่น นิรโทษกรรม เข้าไปในรัฐธรรมนูญใหม่อย่างแนบเนียน ในระหว่างนี้ควรจะมานั่งจับเข่าคุยกันว่าอะไรที่มันเกินจริงและปัญหาอะไรบ้างที่ต้องแก้ไข ซึ่งต้องรีบทำให้ภาคประชาชนและการเมืองยอมรับ ดีกว่ารอให้ถึงวันที่ทุกอย่างจะย้อนกลับสู่จุดเดิมของจุดตั้งต้น...
“...ผู้ใหญ่จะกระทำงาน จะต้องมีแบบอย่างของผู้ใหญ่อยู่...”
คำคมโกวเล้ง จากเรื่องจอมโจรจอมใจ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี