ครั้งก่อนได้สรุปกระบวนการแก้ไขระบบสถาบันการเงิน ที่ทำให้ระบบหยุดไหล หยุดล่ม ไม่ต้องยึดเข้ามาเป็นของรัฐทั้งหมด ถึงแม้จะยังไม่กลับมาขยายตัว เพื่อรองรับเศรษฐกิจ แต่ใช้เวลา ปรับตัวต่ออีกระยะหนึ่ง ซึ่งก็เป็นเรื่องธรรมดา ลองเปรียบเทียบ บ้านเพิ่งโดนน้ำท่วมใหญ่ วินาศสันตะโร พอน้ำลดก็จะต้องเก็บกวาด แยกของเน่าของเสีย จัดแจงซ่อมแซมระบบ ไฟฟ้าประปา จัดสร้างเขื่อนกั้นน้ำ (เช่น ระบบบริหารความเสี่ยง) ฯลฯ ก่อนที่พร้อมจะเข้าไปหาซื้อทรัพย์ใหม่เข้าบ้าน ขยายตัวได้อีก ก็โน่นแหละครับ ปี 2544 โดยธนาคารกรุงไทยเป็นหัวหอกบุกตะลุย ทำให้เกิดสภาพแข่งขันขึ้นใหม่
ครั้งนี้ ในบทความจะเล่าถึงกระบวนการด้านองค์กรเพื่อการปฏิรูประบบสถาบันการเงิน หรือ ปรส. ซึ่งถูกตั้งขึ้นมาเพื่อจัดการกับ บริษัทเงินทุน ที่ถูกระงับกิจการ ในวันที่ 5 สิงหาคม 40 (ก่อนนายกฯ ชวน หลีกภัยเข้ามารับตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรีครั้งที่ 2) รวม 58 แห่ง ซึ่งหลังจากปรส.ทำหน้าที่พิจารณาแผนที่ทุกคนเสนอเข้ามา แล้วให้ผ่านแค่ 2 แห่ง (เกียรตินาคิน กับ BIC) ปิดถาวร 56 แห่ง เมื่อ 8 ธันวาคม 40 แล้ว เลยต้องทำหน้าที่จัดการกับทรัพย์สินที่ติดอยู่ (ส่วนใหญ่เป็น NPL) ประมาณ 850,000 ล้านบาท ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องค้างคาใจสังคมหลายฝ่าย ว่าทำไมต้องรีบ ต้องร้อนเทกระจาดขาย ได้เงินเพียง 190,000 ล้านบาท เป็นคดีความยาวนาน มหากาพย์เรื่องหนึ่ง
คุณบรรยง ได้กรุณาเล่าเอาไว้ในมุมที่ท่านรับรู้และเข้าใจเอาไว้ดังต่อไปนี้ครับ…
คณะกรรมการฯ และเลขาธิการฯ ปรส.คนเดิม พอรู้หน้าที่ว่าต้องรับเผือกร้อนสุดๆ ทำหน้าที่จัดการทรัพย์สินที่ว่า ท่านก็เลย แสดงความสามัคคี ลาออกโดยพร้อมเพรียงกัน ทำให้รัฐบาลใหม่ต้องไปควานหา อ้อนวอนให้ผู้มีความสามารถ มาช่วยสะสางภารกิจสำคัญนี้ ก็ไปได้คุณอมเรศ ศิลาอ่อน กับคุณวิชชรัตน์ วิจิตรวาทการ ที่ยอมมารับตำแหน่งประธานฯ และเลขาฯ ยอมเหน็ดเหนื่อยทำเรื่องยาก แล้วเลยต้องตกระกำกลายเป็นผู้ต้องหาทั้งทางสังคม และทางกฎหมาย อย่างน่าเห็นใจยิ่ง
ทรัพย์สิน 850,000 ล้านนี้ มีทรัพย์สินประกอบการ กับพวกของตกแต่ง เช่น ตึก ที่ดิน รูปภาพ เฟอร์นิเจอร์ รูปภาพ ฯลฯ อยู่บ้าง แต่ส่วนใหญ่เป็นเงินให้กู้ซึ่งในที่สุดเป็น NPL กว่า 90% ในตอนแรก มีการพยายามแยกหนี้ดีออกมา โดยจัดตั้งธนารัตนสิน (มีดร.วิชิต สุรพงษ์ชัย เป็นประธาน) เพื่อซื้อหนี้ดีออกไป แต่ไปๆมาๆ ไม่มีหนี้ดีให้ซื้อ เลยต้องไปทำอย่างอื่น แล้วก็เลิก ก็ขายไป
ประเด็นมันอยู่ที่ว่า ทรัพย์สินมูลค่าเกือบ 1/3 ของ GDP ซึ่งในพ.ศ.นั้นขณะนั้นประมาณ 2.8 ล้านล้านบาท และส่วนใหญ่เป็นหนี้เสีย ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับผู้ประกอบการ รวมทั้งผู้บริโภคอย่างกว้างขวาง ทั้งระบบเศรษฐกิจ หลายล้านคน จะจัดการกับมันยังไง ในเมื่อตัดสินใจไปแล้วว่าไม่ให้ผู้บริหารเดิมดูแลต่อ
รัฐก็ดูจะมีทางเลือกแค่สองทาง คือ 1) เก็บเอาไว้ (warehousing) แล้วค่อยๆ ดูแล บริหารจัดการ ค่อยๆ เก็บ ค่อยๆ ทวง ว่ากันไป แต่อุปสรรคในการจัดเก็บนั้นยากมาก คุณบรรยง บอกเปรียบเทียบว่า ยากกว่าการดูแลสต็อกข้าวสมัยยุคจำนำข้าวมากกว่าเยอะทีเดียว กับ 2) เทขายออกไป ให้ระบบ ให้เอกชนเข้ามาจัดการ
ประสบการณ์ที่เคยมีในโลกในเรื่องนี้ ช่วงเดียวกันมีอย่างนี้
ในอเมริกา มี Saving & Loan Crisis ช่วง 1990 เขาใช้วิธี fire sell ซึ่งได้ผลดีมาก เพราะ สินทรัพย์ไม่ใหญ่ (< 5% ของ GDP) กับกลไกตลาดและระบบกฎหมายที่ดีเกื้อหนุน
ในสวีเดน มี banking crisis ใหญ่ ปี 1992 รัฐตั้งบรรษัท Securum เพื่อจัดการ bad asset ของระบบ ซึ่งได้ผลดีมาก จัดการได้เร็ว ขายได้เร็ว มีประสิทธิภาพสูง ได้เงินคืนเยอะเป็นประวัติการณ์ recovery rate ดีกว่า 55% เพราะระบบดี และมีประเทศอื่นในยุโรป เข้ามาช่วยซื้อ
ใน Peso Crisis ของ Mexico เมื่อปี 1994 รัฐจัดตั้ง Asset Management ขนาดใหญ่ชื่อ FOBAPROA มารับหนี้เสีย ของระบบธนาคารพาณิชย์ เสร็จแล้วก็เป็นเหมือนรัฐวิสาหกิจในประเทศกำลังพัฒนาทั้งหลาย คือเละ จนถึง 1998 ไม่มีความคืบหน้าแทบจะนั่งทับไว้แก้ได้น้อยมาก แถมที่แก้ได้บ้างก็มีเรื่องโกง เรื่องกิน เต็มไปหมด นี่ถ้าน้ำมันไม่ขึ้นราคา สงสัย Mexico จะฟื้นยาก
คำถามคือ ไทยเราน่าจะเป็นอย่าง Mexico หรือ Sweden ??
ความจริงมีการพิจารณา ที่จะพยายามจัดตั้ง Asset Management เพื่อ Warehouse และค่อยๆจัดการหนี้เสีย มีการเชิญผู้บริหารของ Securum มาปรึกษา นัยว่าอาจว่าจ้างให้ช่วยบริหารด้วยเลย ซึ่งผมมีโอกาสได้เจอ แต่เขามาดูมาศึกษาแล้วก็สรุปว่า ไม่น่าทำได้ ทั้งระบบกฎหมาย ข้อมูล ฯลฯ เรียกว่า "จ้างให้ก็ไม่ทำ"
อีกเรื่องที่สำคัญมาก คือการที่มีทรัพย์สิน จำนวนมหึมา กว่า 1/3 ของ GDP ติดอยู่กับ ปรส. ย่อมเป็นที่แน่นอน ว่าทรัพย์สินพวกนี้ ย่อมไม่สามารถสร้างผลิตผลได้ กิจการชะงักงัน หรือทำได้ก็ไม่เต็มที่ เช่น หา working cap ไม่ได้ แถมยังจะตั้งหน้าตั้งตา sifon ปล้นจากเจ้าหนี้ทุกวิถีทางอีก การที่รีบคืนทรัพย์ให้กับระบบ เพื่อจะได้เริ่มการผลิตตามปกติ และจะได้ขยายตัวต่อไป (เป็นNPLขยายตัวไม่ได้ มีแต่หด) เป็นเรื่องสำคัญเร่งด่วน
ดังนั้นเมื่อรัฐทำเองก็ไม่ได้ไม่ดี ก็นำไปสู่การตัดสินใจสำคัญ คือ การขายทอดตลาด firesale ซึ่งในความเห็นของคุณบรรยงคิดว่า เป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง ชอบแล้ว !
มีข้อโต้แย้งมากมายว่า ทำไมไม่ทำอย่างโน้น อย่างนี้ น่าจะแยกทรัพย์เป็นหลายประเภท แล้ว treat ต่างกันก็น่าจะต้องใช้เวลาสัก 3 ปี ยิ่งบางคนมาวิจารณ์ภายหลังเข้าทำนอง "รู้อะไร ไม่เท่า รู้งี้" ก็ว่ากันไป ความจริงมีความพยายามพิจารณาทุกช่องทาง เช่น พยายามปรับกฎหมายเพื่อให้กระบวนการแก้ไขดีขึ้น สะดวกขึ้น พวกที่เสียประโยชน์ ก็โวยวาย เรียกว่าเป็นกฎหมายขายชาติ lobby วุฒิสภาวุ่นวายไปหมด กฎหมายเลยออกไม่ได้ ออกช้า หรือไม่ก็บิดเบือน อย่างที่บอกแหละครับทั้งกฎ ทั้งกลไก มันไม่เอื้อ ขณะที่จะรอก็รอไม่ได้อย่างที่บอก
กรณี ปรส. นี้เป็นการกัดลูกปืน (bite the bullets) ครั้งใหญ่ ความไม่มีประสิทธิภาพของระบบ เช่น ความไม่สมบูรณ์ของข้อมูล ระบบกฎหมายต่างๆ ทำให้เกิดความเสียหายกว่า 600,000 ล้านบาท ซึ่งผมคิดว่าเป็นต้นทุนการแก้วิกฤติที่ไม่ได้รั่วไหลเข้ากระเป๋าใคร ถือเป็นต้นทุนสูงลิ่ว แต่ไม่มีทางเลือก
คุณบรรยงแกบอกต่อไปอีกว่า นี่เป็นปัจจัยสำคัญอันหนึ่งที่ทำให้ระบบเศรษฐกิจเดินได้อีก และรัฐไม่ต้อง nationalize กิจการเอกชนมากเกินไป ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้น เราจะเผชิญหายนะยาวนาน
คนที่เกี่ยวข้อง ตัดสินใจ และปฏิบัติ ในเรื่องนี้ เช่น รัฐบาล กระทรวงการคลัง IMF รวมทั้งผู้ดำเนินการ อย่างคุณอมเรศ คุณวิชรัตน์ และทีมงาน ก็น่าจะรู้ว่ามีโอกาสที่จะต้องถูกประนาม ถูกเช็คบิลสูง
ต่อเนื่องจากช่วงนั้นก็มีกฎหมายที่ออกในช่วง 2541-42 รวม 11 ฉบับ ซึ่งเป็นไปตาม Letter of Intent ที่มีกับ IMF แล้วถูกโจมตีอย่างสาดเสียเทเสียมากมาย ว่าเป็น "กฎหมายขายชาติ" เป็นการปล้นชาติเอาไปดื้อๆ มีกระทั่งกล่าวหาว่าเอาไปแลกตำแหน่งใหญ่ใน WTO ให้กับอดีตรองนายกฯท่านหนึ่งเลยทีเดียว (ซึ่งก็มิใช่ความจริงแต่อย่างใด)
เรามาดูกันว่า กฎหมาย 11 ฉบับที่ว่านี้มันเป็นยังไง และขอย้ำแทรกจากคุณบรรยงเล็กน้อยครับว่า กฎหมายฉบับนี้จำต้องออกล้อไปตาม Letter of intent ฉบับแรกที่มีกับ IMF ซึ่งฉบับแรกนั้นออกโดยรัฐบาลพลเอกชวลิต แล้วรัฐบาลคุณชวนท่านก็ต้องเข้ามาว่ากันต่อจากสิ่งที่ผูกมัดประเทศเอาไว้แล้ว กฎหมายที่ว่านี้ ดีเลว ชั่วร้ายขนาดไหน ส่งผลดีผลร้ายต่อระบบโดยรวมอย่างไร ต่อคนกลุ่มไหน คนรวย คนจน เศรษฐี ชาวบ้าน นักธุรกิจดี นักธุรกิจห่วย คนไทย ต่างชาติ ต่างกันอย่างไร
ขอเริ่มด้วยสถานะความเสียหายที่เกิดจากวิกฤต จากการลงทุนผิดพลาดสะสมยาวนาน ใช้แหล่งทุนผิด และถูกซ้ำเติมด้วยค่าเงินที่ลดลงประมาณ 40% ทำให้ภาคเอกชนไทย จำนวนมากอยู่ในภาวะล้มละลาย มี NPL ในระบบรวม 45% (ประมาณ 2.5 ล้านล้าน) รวมกับทรัพย์สินที่ติดอยู่กับปรส.อีก 850,000 ล้าน มากกว่าขนาด GDP (ประมาณ 3ล้านๆในขณะนั้น) อย่างที่เคยบอก ทรัพย์สินที่เป็นNPLจะมีปัญหามาก เพราะไม่รู้ว่าใครเป็นเจ้าของกันแน่ ไม่สามารถสร้างผลผลิตได้หรือได้ก็ไม่เต็มที่ ไม่มีการขยายตัว มีแต่จะเสื่อมสภาพเพราะขาดการบำรุง และถูกริดรอนปล้นชิง
ภารกิจสำคัญที่จะต้องทำในการสะสาง ซากปรักหักพังไปทั่วอย่างนี้ พอจะสรุปได้ดังนี้ คือ
1. หยุดเลือดให้ได้ คือหยุดภาวะตื่นตระหนก ให้สถาบันการเงินตั้งหลักได้ มีสเถียรภาพค่าเงิน (ซึ่งก็ทำไปแล้วในตอนก่อนๆ)
2. ทำให้ economic asset ยังคงผลผลิตได้อยู่ เพื่อให้ไม่เกิดการหดตัวอย่างรุนแรง (ปี 40-41 GDP หดตัวรวมถึง 12% ต้องใช้เวลาถึงอีก 4 ปี กว่าจะกลับมาที่เดิม) ซึ่งจะส่งผลต่อการจ้างงาน และการบริโภค ทำให้ประชาชน โดยเฉพาะคนจนเดือดร้อนมาก และพยายามให้ economic value เสื่อมถอยน้อยที่สุด
3. ต้องสะสางความเป็นเจ้าของ ว่าใครจะได้อะไรในซากปรักหักพังนี้บ้าง หรือพูดอีกมุมหนึ่งก็คือ แบ่งปันความเสียหาย ซึ่งเจ้าภาพที่ต้องรับก็หนีไม่พ้นว่าเป็น เจ้าของกิจการ เจ้าหนี้ทั้งหลาย ทั้งการเงินการค้า รัฐ ส่วนพวกแรงงานกับผู้บริโภคก็จะได้รับผลไม่น้อย ทั้งๆที่แทบไม่มีบทบาทในเวทีต่อรองเลย
ในการสะสางนั้นจะต้องยึดหลักให้ความเป็นธรรม ให้เป็นภาระรัฐน้อยที่สุด และไม่ให้เกิดภาวะ Moral Hazard (แปลง่ายๆว่าอย่าให้คนห่วยได้ดี เพราะมันจะส่งเสริมให้คนอยากห่วยอยากชุ่ยแล้วนำไปสู่วิกฤติอีก)
และ 4. ที่สำคัญที่สุดจะต้องหาแหล่งทุนเพิ่มให้ได้ เพราะทุนเดิม (Equity) พังพินาศย่อยยับแทบสิ้น ถ้าไม่มีทุนถึงฟื้นก็อ่อนแอ เจ๊งอีกได้ง่ายๆ และไม่มีทางขยายตัวได้ ซึ่งแหล่งทุนในประเทศพังยับแทบทั้งสิ้น ตลาดทุนก็ยังไม่พัฒนา (และก็พึ่งพาต่างชาติกว่าครึ่งอยู่แล้ว) รัฐก็กระเป๋ากลวง จะให้ธปท.พิมพ์แบงค์ดื้อๆเหมือน QE แบบอเมริกา ก็เจอวิกฤติศรัทธา ดังนั้นก็เลยเหลือทางเลือกเดียว คือต้องทำทุกวิถีทางที่จะอ้อนวอนต่างชาติให้เข้ามาลงทุนให้ได้ และทุนจะสัญชาติใดไม่เห็นสำคัญ ขอให้ลงทุนในไทย จ้างงานไทย สร้าง GDP ไทย แก้ปัญหาในเมืองไทย พัฒนาเทคโนโลยีไทย ก็เป็นแต่ประโยชน์เท่านั้น ผู้ที่เสียหายก็มีแต่เจ้าของกิจการไทยที่ทำเจ๊ง เลยต้องสูญเสีย กับพวกห่วยที่ไม่ต้องการแข่งกับคนเก่ง
สิ่งที่ต้องพยายามหลีกเลี่ยงให้มากที่สุด คือการยึดทรัพย์สินหรือกิจการมาเป็นของรัฐ แล้วรัฐเข้าดำเนินการเสียเอง ซึ่งผมขอประกาศความเชื่อมั่นเป็นครั้งที่100 ว่า "ถ้าให้รัฐทำ ก็มีแต่ ห่วย กับ หาย"
แล้วเรามาต่อกันในสัปดาห์หน้ากับมหากาพย์ต้มยำกุ้ง โดยคุณบรรยง พงษ์พานิช ในบทความวันเสาร์ถัดไปครับ
บทความ 3 ตอนแรก สามารถติดตามได้ทางแนวหน้าออนไลน์
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี