หลังจากนี้ ประชาชนชาวกรุงเทพฯ และ ใกล้เคียง จะได้นั่งโดยสารปรับอากาศที่ใช้พลังงานสะอาด (รถไฟฟ้า)เสียที หลังติดขัดปัญหามานาน
ล่าสุด เมื่อวันที่ 29 ก.ย.ที่ผ่านมา นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ได้ผลักดันการนำรถเมล์ไฟฟ้ามาให้บริการได้สำเร็จ และเปิดให้บริการรถโดยสารพลังงานไฟฟ้า สาย 17 (4-3) เส้นทางพระประแดง-อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ และ สาย 82 (4-15) ท่าน้ำพระประแดง-บางลำพู ซึ่งเป็นเส้นทาง เชื่อมโยงทุกการเดินทางอย่างไร้รอยต่อตามนโยบายของกระทรวงคมนาคม
นายศักดิ์สยาม กล่าวว่า สิ่งที่พยายามทำ แม้ว่าจะใช้เวลามากพอสมควรเกือบ 4 ปี แต่ไม่มีอะไรที่จะทำไม่ได้ หากเราตั้งใจจะทำ วันนี้ถือเป็นการพิสูจน์ว่าเราเริ่มนับ 1 ในการให้บริการรถขนส่งสาธารณะในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑล ที่ใช้พลังงานไฟฟ้า และมีแผนที่จะดำเนินไม่เกิน 3 ปี ในการเปลี่ยนรถขนส่งสาธารณะทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นรถเก่าๆ หรือรถร้อน มาเป็นรถไฟฟ้า เพื่อเป็นการเพิ่มคุณภาพชีวิตให้ประชาชน เข้าถึงการให้บริการโดยเฉพาะผู้ด้อยโอกาส ก็สามารถเข้าถึงการให้บริการ ซึ่งจะทำให้นี้สิ่งเหล่านี้เป็นไปตามสมมุติฐานที่กระทรวงคมนาคมตั้งใจไว้”
สำหรับการทดลองเปิดให้บริการรถโดยสารพลังงานไฟฟ้า สาย 17 และสาย 82 ทั้ง 2 สาย จะบรรจุรถโดยสารพลังงานไฟฟ้าเบื้องต้นจำนวนรวม 20 คัน แบ่งเป็นสาย 17 จำนวน 5 คัน และสาย 82 จำนวน 15 คัน จากนั้นทยอยเพิ่มจำนวนรถ โดยในวันที่ 5 ต.ค.นี้จะเปิดให้บริการเป็นครั้งที่ 3 ด้วยไทย สมายล์บัส
อย่างไรก็ตามภายใต้การเร่งรัดการดำเนินการของนายศักดิ์สยาม ในปีนี้จะมีรถโดยสารพลังงานไฟฟ้าเพิ่มเป็น 972 คัน ใน 77 เส้นทางจากการผลักดันนโยบายอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2562 โดยภายในปี 2565 จะสามารถใช้บริการเครือข่ายรถเมล์พลังงานสะอาดกว่า 1,250 คัน ใน 122 เส้นทางที่ปฏิรูปใหม่ ซึ่งได้มีการวางแผนเชื่อมต่อระบบ ล้อ-ราง-เรือ อย่างครบวงจร
สำหรับเส้นทางสาย 17 พระประแดง-อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ จะเชื่อมต่อกับระบบการขนส่งทางราง รถไฟฟ้าสายสีเขียว บริเวณอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิอันเป็นจุดศูนย์กลางของการเชื่อมต่อของกรุงเทพมหานคร ส่วนสาย 82 ท่าน้ำพระประแดง-บางลำพู จะเชื่อมต่อการขนส่งทางน้ำ ณ ท่าเรือสะพานพุทธ ซึ่งเป็นท่าเรืออัจฉริยะรองรับรูปแบบการเดินทางของคนรุ่นใหม่
ทั้งนี้ รถเมล์ไฟฟ้าที่มีพลังงานสะอาด เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ช่วยลดปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM 2.5) เป็นรถปรับอากาศทำให้ประชาชนผู้ใช้บริการได้รับความสบายเพิ่มมากขึ้น เพื่อให้การเดินทางของพี่น้องประชาชนไม่น่าเบื่ออีกต่อไป รวมถึงได้ขอให้บริษัทฯ ติดตั้งโทรทัศน์ภายในรถโดยสาร เพื่อผู้ใช้บริการได้ติดตามข้อมูลข่าวสารและตรวจสอบเส้นทางในการเดินทาง นอกจากนี้ ภายในรถมีการติดตั้งกล้องวงจรปิด CCTV จำนวน 6 จุด เพื่อเฝ้าระวังติดตามการป้องกันการก่อเหตุอาชญากรรม และการทะเลาะวิวาท เพิ่มความปลอดภัยให้ประชาชน
สำหรับการกำหนดราคาค่าโดยสารตามระยะทางไว้ที่ 15-20-25 บาท โดยบริษัทฯ ได้ให้ความร่วมมือในการช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อย เป็นผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ โดยจัดเก็บค่าโดยสารที่ราคา 10 บาท ตลอดสายจนถึงสิ้นปี 2565 และจัดทำตั๋วพิเศษ สำหรับประชาชนทั่วไปที่เดินทางค่าโดยสารมากกว่า 40 บาทต่อวัน จะไม่มีการเก็บค่าโดยสารเพิ่มหรือเป็นตั๋ววัน เพื่อเป็นการแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายให้ครอบคลุมประชาชนทุกกลุ่ม
อย่างไรก็ตาม กระทรวงคมนาคม โดยรัฐมนตรีจากพรรคภูมิใจไทย ได้มีนโยบายเรื่องรถไฟฟ้า มาตั้งแต่ นายโสภณ ซารัมย์ ครั้งยังดำรงตำแหน่ง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เมื่อปี 2551 ในการปฏิรูปเส้นทางรถเมล์ และการเช่ารถเมล์พลังงานสะอาด NGV มาแล้ว และเมื่อนายศักดิ์สยาม เข้ามาเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ก็นำเรื่องนี้มาต่อยอดให้ องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ และมาเริ่มดำเนินการในระบบรถร่วม ซึ่งได้รับการตอบรับจากประชาชน และในช่วงก่อน 180 วัน ที่สภาผู้แทนราษฎรจะหมดวาระ ได้มีป้ายข้อความหลุดออกมา “พูดแล้วทำ” รถเมล์ไฟฟ้า ลด PM 2.5 ค่าโดยสารเริ่มต้น 10 บาท สูงสุด 40 บาท ทุกเที่ยว ทุกสาย ตลอดวัน ซึ่งจะสื่อในเรื่องที่เกิดขึ้นมา และจะทำต่อไป
ถือเป็นประวัติศาสตร์ของการเดินรถโดยสารสาธารณะ ด้วยพลังงานไฟฟ้าให้ และยังเป็นการยกระดับคุณภาพชีวิตให้ประชาชนอย่างแท้จริง
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี