เศรษฐศาสตร์วันหยุด : วิกฤตเสถียรภาพการคลัง  โจทย์ยากรอวัดฝีมือรัฐบาลใหม่

เศรษฐศาสตร์วันหยุด : วิกฤตเสถียรภาพการคลัง โจทย์ยากรอวัดฝีมือรัฐบาลใหม่

วันอาทิตย์ ที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2568, 02.00 น.

นักวิจัยของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) สื่อสารถึงความสำคัญที่ไทยจะต้องรักษาเสถียรภาพการคลัง สนับสนุนการควบคุมสัดส่วนหนี้สาธารณะต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ไม่ให้เกินเพดาน 70% ในระยะปานกลาง อีกทั้ง ยังมีผลการศึกษาสนับสนุนเพิ่มเติมว่า หากหนี้สาธารณะไทยเพิ่มขึ้นจนเข้าสู่ช่วง 77-87% ต่อ GDP (ค่ากลาง 82%) จะส่งผลเสียต่อเศรษฐกิจไทยชัดเจนขึ้น เนื่องจากจะทำให้ภาครัฐจำเป็นต้องจัดสรรงบประมาณไปชำระหนี้มากขึ้น กดดันการลงทุนที่เป็นประโยชน์ต่อเศรษฐกิจ และทำให้ภาครัฐมีพื้นที่การคลังรองรับความเสี่ยงทางเศรษฐกิจได้น้อยลง

ทั้งนี้ ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 18 พ.ย.2568 ได้อนุมัติ แผนการคลังระยะปานกลาง (Medium–Term Fiscal Framework : MTFF) ที่นำเสนอโดยกระทรวงการคลัง ครอบคลุมปีงบประมาณ 2570 - 2573 ซึ่งให้ความสำคัญกับการฟื้นฟูสภาพทางการคลังของประเทศ โดยวางแผนลดขาดดุลการคลังจาก 4.4% ของ GDP ในปีงบประมาณ 2569 ลงเหลือเพียง 2.1% ในปีงบประมาณ 2573 (ต่ำกว่าเกณฑ์ปกติของไทยช่วงก่อนวิกฤตโควิดที่มักจะขาดดุลงบประมาณไม่ถึง 3% ของ GDP) ผ่านแนวทางปฏิรูปการคลัง 3 ด้านหลัก คือ 1. ปฏิรูปรายได้ ผ่านการเพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บรายได้และขยายฐานภาษีด้วย Big data การปรับปรุงโครงสร้างภาษี เช่น การทยอยปรับขึ้นอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มเป็น 8.5% ในปีงบประมาณ 2571 และ 10% ในปีงบประมาณ 2573 การปรับปรุงโครงสร้างภาษีสรรพสามิตน้ำมัน การปรับปรุงโครงสร้างภาษีบุคคลธรรมดาและค่าลดหย่อนภาษีบางประเภท ฯลฯ 2. ปฏิรูปรายจ่าย โดยใช้งบประมาณคุ้มค่าอย่างมีประสิทธิผลและประสิทธิภาพสูงสุด หาแหล่งเงินทุนทางเลือก 3. เพิ่มวินัยการเงินการคลัง โดยลดสัดส่วนรายจ่ายงบกลางรายการสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นลง (จากเดิม 2-3.5% เหลือ 2-3% ของงบประมาณรายจ่าย) เพิ่มสัดส่วนงบชำระคืนต้นเงินกู้ (จากเดิม 3.5-5% เป็นไม่น้อยกว่า 4% ของงบประมาณรายจ่าย) ฯลฯ


อย่างไรก็ตามต้องบอกว่า MTFF ก็ยังต้องเผชิญความท้าทายอยู่ไม่น้อย เช่น อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจของไทยที่ต่ำลงในปี 2569 จะส่งผลโดยตรงต่อประมาณการรายได้ของรัฐบาล ทั้งรายได้ภาษี รายได้รัฐวิสาหกิจ และ เป้าหมายลดขนาดการขาดดุลเหลือเพียง 2.1% ของ GDP ภายใน 5 ปีข้างหน้าตามแผนฯ นี้ท้าทายค่อนข้างมาก เนื่องจากกว่า 66% ของงบประมาณทั้งหมดเป็นรายจ่ายที่ยากต่อการลดทอน โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่การเมืองไทยเผชิญความไม่แน่นอนสูง และรัฐบาลชุดถัดไปสามารถปรับกรอบงบประมาณในปีถัดๆ ไปเพื่อดำเนินนโยบายของพรรคได้อยู่ดี เนื่องจาก MTFF ไม่มีผลบังคับผูกพันหรือเป็นกฎหมายที่จะถูกบังคับใช้ อีกทั้ง การปฏิรูปรายได้เพื่อเพิ่มการจัดเก็บภาษีและลดขนาดการเติบโตของงบประมาณรายจ่ายลดอย่างรวดเร็ว อาจซ้ำเติมเศรษฐกิจไทยที่มีแนวโน้มขยายตัวต่ำอยู่เดิม

นอกจากนี้ตัวเลขการขาดดุลและหนี้สาธารณะจริงมักออกมาสูงกว่าประมาณการ MTFF แม้ MTFF ฉบับใหม่จะเน้นให้มีการควบคุมสัดส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP ไม่ให้ชนเพดานหนี้สาธารณะ 70% หากพิจารณา MTFF ในอดีต พบว่าส่วนใหญ่ตัวเลขหนี้สาธารณะที่ประกาศออกมามักสูงกว่าประมาณการใน MTFF ส่งผลให้รัฐบาลต้องปรับประมาณการหนี้สาธารณะใน MTFF ฉบับถัดไป ซึ่งเป็นผลจากตัวเลขเศรษฐกิจจริงที่ออกมาต่ำกว่าประมาณการใน MTFF หรือขาดดุลงบประมาณจริงสูงกว่าที่วางแผนไว้ใน MTFF

พงษ์พันธุ์

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Back to Top