บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เคจีไอ (ประเทศไทย) วิเคราะห์หุ้นกลุ่มธนาคารหรือ Bank Sector ก่อนที่เกณฑ์ใหม่ TFRS9 จะมีผลบังคับใช้ในปี 2563 ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้จัดประชุมเพื่อชี้แจงในประเด็นสำคัญเกี่ยวกับเกณฑ์ใหม่นี้ ซึ่งได้แก่ 1.) สถาบันการเงิน (ธนาคารพาณิชย์), ธนาคารต่างประเทศ, บริษัทเงินทุน (finco) ถูกกำหนดให้กันเงินกองทุนTier 1 ขึ้นอีก 1% ของสินทรัพย์เสี่ยงถ่วงน้ำหนัก (ซึ่งรวมยอดสินเชื่อคงค้างในปัจจุบัน, สินเชื่อจัดชั้นกล่าวถึงเป็นพิเศษ(SML), และรายการนอกงบดุล) 2.) ธปท.อนุญาตให้สถาบันการเงินใช้สำรองส่วนเกินเป็นเงินกองทุนขั้นที่สอง (Tier II)ได้ไม่เกิน 1.25% RWA 3.) สถาบันการเงินต้องรับรู้เงินสำรองส่วนเกินออกมาเป็นรายได้ที่สุทธิจากค่าใช้จ่ายสำรองใหม่ผ่านงบกำไรขาดทุน ภายในห้าปี
ธนาคารพาณิชย์มีสำรองเกินกว่าข้อกำหนด
การเพิ่มเงินทุกสำรอง CET1 อีก1% หมายถึงเงินกองทุนขั้นที่ 1 ตามเกณฑ์ขั้นต่ำ (minใcommon equity Tier 1 หรือ CET 1) จะเพิ่มเป็น 9.5% +1%= 10.5%และ CAR จะอยู่ที่ 13% ในปีหน้า ดังนั้น ธนาคารไหนที่มี CET1 เกินเกณฑ์ใหม่อยู่แล้วก็ไม่จำเป็นต้องเพิ่มเงินกองทุน แต่ธนาคารไหนที่ CET1 ต่ำกว่าเกณฑ์ใหม่ก็ต้องจัดหาเงินกองทุนให้สูงกว่าเกณฑ์ขั้นต่ำใหม่ภายในสามปี ซึ่งเราพบว่าธนาคารพาณิชย์ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ทุกแห่งมี CET1 อยู่ที่ประมาณ 13-16% (figure 1,2) ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ขั้นต่ำของธปท. อย่างมากทำให้ไม่ต้องมีภาระกันเงินกองทุนเพิ่ม
ปล่อยสำรองส่วนเกินออกมาบันทึกเป็นรายได้
ถึงแม้ว่าธนาคารส่วนใหญ่จะมีสำรองส่วนเกินจำนวนมาก แต่ธนาคารก็ไม่อยากรับรู้ออกมาเป็นรายได้บนงบกำไรขาดทุน เพราะต้องเก็บไว้เป็นสำรองพิเศษของการด้อยค่าสินเชื่อภายเศรฐกิจชะลอตัวในอนาคต ทั้งนี้ เนื่องจากเกณฑ์การจัดชั้นหนี้ในปัจจุบันที่แบ่งออกเป็น 5 ระดับและการตั้งสำรองฯถูกกำหนดโดยธปท.เป็นเปอร์เซ็นต์คงที่ในหนี้ในแต่ละชั้น (figure 3)แต่ภายใต้เกณฑ์ใหม่การจัดชั้นจะลดลงเหลือ3 ระดับ 1.หนี้ปกติ 2.หนี้ที่ต่ำกว่ามาตรฐาน 3.และหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (non-performing loan) การตั้งสำรองจะไม่กำหนดเปอร์เซ็นต์คงที่โดยเฉพาะหนี้ในชั้นที่ 2 ที่ตั้งสำรองฯจะใช้ดุลยพินิจของข้อสถิติการประเมินสูญเสียตลอดอายุหนี้แทน ทำให้ธนาคารจัดปันสำรองส่วนเกินเพื่อหนี้ชัดนี้ก่อน ส่วนที่เหลือจึงรับรู้เป็นรายได้ผ่านงบกำไรขาดทุน 5 ปี
การชี้แจงของธปท. เป็นบวกกับกลุ่มธนาคารเพราะทำให้ทราบกรอบเวลา และวิธีการบันทึกบัญชีสำรองส่วนเกินที่ชัดเจน เราคิดว่าจะต้องมีสำรองส่วนเกินที่ถูกปลดออกมาเป็นรายได้ผ่านงบ P/L ไม่มากก็น้อยเพื่อให้มั่นใจว่า credit cost ในปีหน้าจะอยู่ในระดับที่บริหารจัดการได้และไม่ผันผวนตามภาวะเศรษฐกิจมากเกินไป เนื่องจากธนาคารต่างๆ มีเงินกองทุนแข็งแกร่ง
ปัจจัยเสี่ยงจากเศรษฐกิจที่ชะลอทำให้เกิด NPL เกิดใหม่ และต้องกันสำรองหนี้เสียเพิ่ม, รายได้ค่าธรรมเนียมลดลง
ที่มา : บล.เคจีไอ(ประเทศไทย)
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี