ราวปี 2542-2546 เป็นช่วงเวลาที่ผมเหนื่อยหนักที่สุดในชีวิต ด้วยเหตุของหนี้ครอบครัวที่ต้องหาทางแก้ปัญหาอยู่ตลอด ประกอบกับความพยายามต่างๆ ที่ไม่ค่อยเป็นมรรคเป็นผล ในช่วงเวลาเดียวกันทำอะไรตั้งหลายอย่าง แต่ไม่ได้เปลี่ยนเป็น “เงิน” เพื่อมาคลายโจทย์คลายปมชีวิตได้เลย
คนเราเวลาทำอะไรแล้วไม่เห็นผลลัพธ์ให้ชื่นใจแม่งโคตรเหนื่อยเลยครับ!!
สถานการณ์น่าจะคล้ายกับหลายคนในช่วงเวลานี้ คือ กูก็สู้นะ แต่แม่งไม่มีอะไรเข้าทางกูบ้างเลย จนหลายครั้งทำให้เราเผลอเชื่อว่ามันเป็นเพราะโชค เป็นเพราะวาสนา ชะตาลิขิต
คนเราพอเชื่อโชคชะตามากไป บางทีมันทำให้เราท้อและหยุดทำสิ่งต่างๆ ลงไปเฉยๆ ได้เลยนะ อ้าว! ก็ในเมื่อไม่มีโชค ก็ไม่ต้องทำห่าทำเหวอะไรแล้วล่ะ รอให้โชคหันหลังกลับมา รอให้ลมเปลี่ยนทิศ เดี๋ยวอะไรๆ ก็จะดีขึ้นเอง
ดังนั้น สิ่งที่ทำได้อย่างเดียวสำหรับคนที่หวัง “โชคดี”ก็คือ “รอ”
แต่ก็นั่นแหละ … โดยสันดานผมเป็นใจร้อน ไม่ชอบรอ
จำได้ว่าตอนนั้นไม่ได้คิดอะไรมาก (ที่จริงไม่ได้คิดอะไรเลย) รู้แต่ว่าถ้ามันเอาแต่เศร้า แล้วก็ทุกข์ ชีวิตมันจะไม่เคลื่อนไปข้างหน้า เรียกว่า นั่งเฉยๆ แล้วมันคิดมันกลุ้ม ก็พยายามอย่าทำให้ตัวเองว่าง หาอะไรทำไปเรื่อย คิดอะไรออกแล้วมันไม่ได้เปลือง ไม่ได้เสี่ยง ก็ทำ ก็ลุยมันไป
เริ่มต้นทำนายหน้าอสังหาริมทรัพย์ ทำนัดกับลูกค้า 3-4 ครั้ง ไปแล้วเสียเปล่าเขาไม่ซื้อ ก็มีท้อบ้าง ก็เลยตั้งเป้าหมายว่า จะนัดกับลูกค้า 30 ราย ถ้าขายไม่ได้เลยจะเลิกสุดท้าย รายที่ 5 แม่งดันขายได้ ก็ไปต่อ และกลายมาเป็นคนลงทุนทำบ้านเช่าเสียเอง
เริ่มต้นทำธุรกิจที่ปรึกษา จากการออกไปให้คำปรึกษาฟรี 3 บริษัท ไม่คิดมาก บอกตัวเองทำที่ละ 10 ครั้ง เน้นสร้างชื่อสร้างฝีมือ ถ้าทำแล้วไม่มีแนวโน้มลูกค้าสนใจ ไม่มีใครจ้างก็จะเลิก สุดท้ายหนึ่งในสามบริษัทที่ทำให้เขาฟรีก็จ่ายเงินให้วันละ 3,000 บาท เพราะชอบในการทำงาน (ถือเป็นค่าจ้างในนามที่ปรึกษาครั้งแรก) แถมยังแนะนำบริษัทในเครือเดียวกันให้จ้างไปทำงานต่ออีกหลายโครงการในปีนั้น
เริ่มต้นแปลหนังสือ ทะลึ่งแปลโดยไม่ได้คุยกับสำนักพิมพ์ ไม่มีการเซ็นสัญญา แล้วก็ฟาวล์ เขาไม่รับให้แปล ก็หน้าด้านหน้าทน หาเล่มใหม่มาแปลส่งให้เขาพิจารณาอีก 3-4 เล่ม เขาก็ไม่รับ เพราะมีคนที่ทำสัญญาด้วยแล้ว (ที่ถูกควรถามสำนักพิมพ์ก่อนนะครับ 555)
ผ่านไปเกือบปี ทาง บก. โทรกลับมาหา มาชวนแปลงานทั้งหมดที่เคยทะลึ่งส่งให้เขาในครั้งก่อน เพราะผู้แปลที่เคยทำสัญญาเอาไว้ ดันทิ้งงาน
สุดท้ายกลายเป็นผู้แปลหนังสือในซีรี่ส์ Rich Dad Poor Dad หรือพ่อรวยสอนลูก ที่คนอ่านกันทั้งประเทศ
(ยังมีอีกหลายเรื่อง ไว้วันหลังจะมาเล่าให้ฟังนะครับ)
ไม่แปลกถ้าวันนี้เรากำลังเหนื่อย และความพยายามทุกหนทางที่ทำไป ยังไม่ผลิดอกออกผลให้ชื่นใจ
แต่มันจะน่าเสียดายมาก หากเวลาในแต่ละวันของเราหมดไปกับความทุกข์ ความท้อ และความเศร้า โดยที่เราไม่ได้โปรยเมล็ดพันธุ์อะไรไว้ในตลอดทางเดินที่เราเดินผ่านมาเลย
เมล็ดพันธุ์ทุกชนิดเติบโตได้บนเงื่อนไขที่ต่างกันไม่ว่าจะเป็นสภาพดินฟ้าอากาศ ปุ๋ย และการดูแลเอาใจใส่ และเหนือไปกว่าความพยายามทั้งหมดที่เราจัดสรรและเติมลงไปให้มันได้ ก็คือ “เวลา” ที่เราอาจต้อง “รอ” สักหน่อยกว่าที่มันจะเติบโตขึ้นมาในแบบที่เราวาดฝันไว้
ส่งกำลังใจให้ทุกคนที่กำลังเหนื่อยในเวลานี้ เหนื่อยได้ท้อได้ แต่อย่าลืมที่จะคิด สร้าง และลงมือทำสิ่งใหม่ทุกวันนะครับ เพราะหากเราเพาะหรือหว่านเมล็ดพันธุ์ไว้บ้าง ดูแลสิ่งที่เราทำอย่างต่อเนื่อง ยังไงวันหนึ่งเราจะได้ไม้ใหญ่ที่เติบโตงอกงามและให้ร่มเงาอย่างแน่นอน
แต่ถ้าปล่อยทุกอย่างผ่านไปเฉยๆ แบบนั้นรับประกันได้เลยว่า ความทุกข์ในวันข้างหน้าจะไม่บรรเทาหรือลดลงไปกว่าวันนี้แน่นอน
อย่าปล่อยเวลาผ่านเลยไป โดยไม่ได้หวานเมล็ดพันธุ์ใดไว้เลยนะครับ
#TheMoneyCoachTH
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี