“กำไรจากการลงทุนยังเป็นตัวช่วย”

บริษัทหลักทรัพย์(บล.)เคจีไอ(ประเทศไทย)วิเคราะห์หุ้นธนาคารกรุงเทพหรือBBLโดยคาดว่ากำไรสุทธิใน 3Q68F จะอยู่ที่ 1.12 หมื่นล้านบาท (-5% QoQ, -10% YoY) +3% YoY ใน 9M68F  เราคาดว่ากำไรจะชะลอตัวลงทั้ง QoQ และ YoY เพราะ NII ลดลง เนื่องจากเราคาดว่า NIM จะลดลง 10bps QoQ และ 30bps YoY และ จะลดลง 30bps YoY ในงวด 9M68F โดยคาดว่าสินเชื่อจะทรงตัวทั้ง  QoQ และ YoY ขณะเดียวกัน เราคาดว่า NIM ที่ลดลงจะฉุดให้ NII ลดลง 3% QoQ และ 7% YoY ใน 3Q68F และ 5% ในงวด 9M68F เราคาดว่า Non-NII จะเพิ่มขึ้น 1% QoQ และ เพิ่มขึ้น 3% YoY ใน 3Q68F โดยจะเพิ่มขึ้นถึง 26% YoY ในงวด 9M68F เพราะมีกำไร FVTPL อย่างต่อเนื่องตามอัตราผลตอบแทนพันธบัตรที่ลดลงในขณะที่รายได้จากค่าธรรมเนียมธุรกรรมธนาคารหลัก ๆ ไม่เพิ่มขึ้น

NPL เพิ่มขึ้นตามฤดูกาล แต่ credit cost ลดลง

NPL ของ BBL มักจะขยับเพิ่มขึ้นตามวัฏจักรของฤดูกาลในช่วงไตรมาสที่สอง และ สาม ซึ่งเราคาดว่าแนวโน้มน่าจะเป็นเช่นนี้ใน 3Q68F โดยเราคาดว่า NPL จะเพิ่มประมาณ 2% QoQ และ 3% YoY อย่างไรก็ตาม เราคาดว่า credit cost จะลดลงเล็กน้อย เนื่องจากกำหนด credit cost ในช่วงต้นปีไว้สูงแล้ว ที่ 145bps ในงวด 1H68 ซึ่งสูงกว่า credit cost ระดับปกติที่ประมาณ 1%

กำไรจากการลงทุนที่ยังไม่รับรู้จะมาช่วยชดเชย NII ที่ลดลง

BBL มีพอร์ตการลงทุนใหญ่ที่สุดที่ประมาณ 1.0 ล้านล้านบาท หรือ ประมาณ 22% ของสินทรัพย์ที่ก่อรายได้ทั้งหมด โดยธนาคารบันทึกกำไรจากการลงทุนที่ยังไม่รับรู้สูงถึงกว่า 4.3 หมื่นล้านบาท โดยเฉพาะการที่หุ้น THAI กลับเข้ามาซื้อขายในตลาดในช่วง 3Q68 ทำให้เราคาดว่าธนาคารจะบันทึกกำไรจากการลงทุนที่ยังไม่รับรู้ประมาณ 2.4 หมื่นล้านบาทใน 3Q68กำไรก้อนโตนี้มากพอที่จะช่วยให้ธนาคารบริหารจัดการ NII ที่ลดลงเพราะแรงกดดันจาก NIM ได้

ถึงแม้ว่าดอกเบี้ยขาลงจะกดดัน NIM ของธนาคาร แต่เราคิดว่า BBL ยังมีรายได้ที่ซ่อนอยู่อีกมาก นอกจากนี้ เมื่อมองในธีมของการลดค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน เราคิดว่า BBL ยังมีช่องให้ปรับปรุงได้อีก ทั้งนี้ เนื่องจากภาวะตลาดไม่เอื้ออำนวย เราจึงใช้ PBV ที่ 0.5x เท่านั้น ทำให้ได้ราคาเป้าหมายปี 2569F ที่ 165 บาท และ คงคำแนะนำถือ

ปัจจัยเสี่ยงจากNPLs เพิ่มขึ้น และ credit cost เพิ่มขึ้น, ผลขาดทุน FVTPL

ที่มา..บล.เคจีไอ(ประเทศไทย)