วันศุกร์ ที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2568
ข้อตกลงสันติภาพกัวลาลัมเปอร์ หรือถ้อยแถลงสันติภาพกัวลาลัมเปอร์ (KualaLumpur Peace Accords) เมื่อวันที่ 26 ต.ค. 2568 ซึ่งผู้นำรัฐบาลฝ่ายไทย ลงนามกับผู้นำรัฐบาลฝ่ายกัมพูชา ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐอเมริกา และนายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ในฐานะประธานอาเซียน เป็นสักขีพยาน ในข้อตกลงร่วมยุติสงครามความขัดแย้งปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา จนได้ภาพเป็นผู้นำสันติภาพในความขัดแย้งนี้ต่อสมาคมโลก
ประธานาธิบดีทรัมป์ ได้ภาพความมีบทบาทการเป็น “คนกลาง” ผู้นำสันติ แห่งประเทศมหาอำนาจ จากสมาคมโลก จากการแถลงในที่ประชุมสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ สมัยที่ 80 ที่สามารถยุติสงครามความขัดแย้งระหว่างคู่กรณี 8 ประเทศในโลก ซึ่งมีกรณีความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชา เป็นหนึ่งในจำนวนดังกล่าว ได้ในช่วงเวลา 7 เดือนในขณะที่รับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา เรียกคะแนนเสียงจากประชาชนชาวอเมริกัน
นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย และประธานอาเซียน นายอันวาร์ อิบราฮิม ได้ภาพความมีบทบาท “คนกลาง” ผู้นำสันติแห่งภูมิภาคสมาคมอาเซียน เช่นกัน
ส่วนนายกรัฐมนตรีไทยผู้ลงนามยังต้องเกาะติดกับปัญหาความขัดแย้งในสถานการณ์หน้างานจริง ที่ฝ่ายกัมพูชายังคงทยอยเสริมกำลังและยั่วยุด้วยการลักลอบเข้ามาวางทุ่นระเบิดในเขตประเทศไทย จนเจ้าหน้าที่ทหารไทยระดับแนวหน้าบาดเจ็บทุพพลภาพรายวัน ซึ่งผิดข้อตกลงระหว่างประเทศอนุสัญญาออตตาวาที่ไทยและกัมพูชาต่างเป็นภาคี และได้ข้อตกลงความร่วมมือซื้อขายแร่ธาตุหายากไทย-สหรัฐฯ แถมมากับความตกลงในคราวนี้ ที่บริบทยังไม่เปิดเผยต่อสาธารณชนชาวไทย และไม่แน่ใจว่าจะได้รับสัตยาบันจากรัฐสภาตามขั้นตอนของกฎหมายรัฐธรรมนูญหรือไม่
ภัยพิบัติอุทกภัยภาคใต้ของไทย ได้ปิดกระแสข่าวความขัดแย้งไปชั่วขณะ เมื่อภัยพิบัติน้ำท่วมลด กัมพูชาได้เริ่มยั่วยุวางทุ่นระเบิด ใช้อาวุธสงครามที่ได้สั่งสมไว้ในช่วงหยุดยิงตามสันติภาพกัวลาลัมเปอร์ ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากประเทศผู้ผลิตเข้าปะทะเจ้าหน้าที่ทหารฝ่ายไทยระดับแนวหน้า บาดเจ็บทุพพลภาพและถึงขั้นเสียชีวิต จนเป็นชนวนให้เกิดสงครามขัดแย้งปะทะกันระหว่างกองกำลังฝ่ายไทย-กัมพูชา อีกรอบหนึ่งหลังข้อตกลงสันติภาพกัวลาลัมเปอร์
ผู้นำประเทศผู้เป็นสักขีพยานในข้อตกลงสันติภาพกัวลาลัมเปอร์ต่างแถลงแสดงความเห็นขอให้ฝ่ายไทย (ฝ่ายเดียว)ยุติการป้องกันตัวตอบโต้การยั่วยุและยิงอาวุธสงครามเข้ามาในฝั่งไทยด้วยเหตุผลที่ไม่ตรงกับสถานการณ์จริง
ประเด็นที่น่าสนใจเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 13 ธันวาคม 2568 เมื่อนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย และประธานาธิบดีทรัมป์ แห่งสหรัฐอเมริกา ได้ออกมาแถลงว่า ทั้งไทยและกัมพูชาตกลงจะยุติการสู้รบ ในวันนั้นเวลา 22.00 น.
ทั้งที่ฝ่ายไทยและกัมพูชาไม่ได้มีการตกลงยุติการสู้รบดังกล่าว ต่างฝ่ายต่างดำเนินการสู้รบกันอย่างต่อเนื่องซึ่งทหารไทยได้พลีชีพเพิ่มขึ้นอีกหลายนาย
หากเปรียบเทียบกับข้อตกลงใดๆ หรือแม้แต่ข้อตกลงทางธุรกิจก็ตาม การที่คู่กรณีหรือคู่สัญญาจะตกลงกันได้ และมีความผูกพันต่อกัน จะต้องเป็นเรื่องที่ทั้งสองฝ่ายมีความเห็นชอบตรงกัน ไม่ใช่เป็นเรื่องที่บุคคลภายนอก หรือแม้แต่สักขีพยานผู้มีชื่อเสียง เป็นผู้บอกว่า คู่กรณีจะต้องตกลงกันอย่างไร และจะต้องปฏิบัติต่อกันอย่างใด
จึงเป็นกรณีที่แตกต่างกับสิ่งที่นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย และประธานาธิบดีทรัมป์แถลงอย่างสิ้นเชิง
ล่าสุด นายกรัฐมนตรีมาเลเซียได้กลับลำ และออกมาแถลงได้ใจความว่า เขาเพียงสนับสนุนให้ทั้งไทยและกัมพูชายุติการสู้รบและหันหน้าเข้าเจรจาต่อกันเท่านั้น
ปฏิญญาหรือบริบทในข้อตกลง ระหว่างไทยกับกัมพูชาดังกล่าวนี้ มิได้มีบริบทบทลงโทษอันเป็นกลไกสำคัญในกรณีคู่ภาคีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งฝ่าฝืนปฏิญญาความตกลง
ฝ่ายกัมพูชาได้ละเลยและละเมิดการปฏิบัติหลายข้อไม่ว่าจะเป็น การหยุดยิงและลดความตึงเครียด (หยุดลอบวางทุ่นระเบิดในเขตไทย) ถอนอาวุธหนัก (ที่เตรียมพร้อมประจำการไว้)
เก็บกู้ทุ่นระเบิดและภัยร้าย ( กู้เก็บกวาดทุ่นระเบิดเดิมเพื่อความปลอดภัยทั้งสองฝ่าย) ปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติและจัดการการรุกล้ำ (กวาดล้างคอลเซ็นเตอร์หรือการค้ามนุษย์
อย่างเป็นรูปธรรม)
แม้ว่าปฏิญญาหรือข้อตกลง จะมิได้กำหนดตามบริบทและกลไกการจัดการกับรัฐที่ละเมิดสนธิสัญญาอย่างจงใจไว้ แต่ภายใต้อนุสัญญากรุงเวียนนาว่าด้วยกฎหมายสนธิสัญญา 1969 ( Vienna Convention on the Law of Treaties : VCLT) มักจะถูกนำมาใช้ โดยเริ่มการใช้มาตรการตอบโต้ทางการทูต การทูตเชิงบังคับ (Coercive Diplomacy) และอาจตามด้วยการระงับการปฏิบัติตามสนธิสัญญา (Countermeasures) เมื่อเกิดการละเมิดข้อตกลงอย่างร้ายแรงจากภาคีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง (มาตรา 60 แห่ง อนุสัญญาเวียนนาว่าด้วยกฎหมายสนธิสัญญา (VCLT) )
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการละเมิดที่ร้ายแรง เช่น ละเมิดสนธิสัญญาด้านสิทธิมนุษยชนและมนุษยธรรม (ตามอนุสัญญาเวียนนาว่าด้วยกฎหมายสนธิสัญญา (VCLT) มาตรา 60 ระบุว่า การละเมิดสนธิสัญญาอย่างร้ายแรงโดยรัฐภาคีหนึ่ง อาจเป็นเหตุให้รัฐภาคีอื่นระงับหรือยุติการปฏิบัติตามสนธิสัญญานั้นได้ แต่มีข้อยกเว้นสำหรับสนธิสัญญาด้านสิทธิมนุษยชนและมนุษยธรรม เช่น การละเมิดพันธกรณีเออร์กา ออมเนส (Erga omnes) ต่อทุกฝ่ายรวมถึงประเทศที่มิใช่ภาคี การละเมิดพันธกรณีที่ผูกพันทุกรัฐ เช่น การห้ามฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ การห้ามทรมาน การจับตัวประกันเพื่อการละเมิดข้อตกลง ถือเป็นการละเมิดต่อประชาคมระหว่างประเทศทั้งหมด ตามหลักการ“ผู้ที่ไม่ปฏิบัติตามย่อมไม่มีสิทธิเรียกร้องให้อีกฝ่ายปฏิบัติ” (inadimplenti non est adimplendum) ประเทศภาคีที่ถูกละเมิดมีสิทธิทำการตอบโต้ (Countermeasures) ใช้มาตรการตอบโต้เพื่อกดดันให้รัฐผู้ละเมิดปฏิบัติตาม แต่ต้องเป็นไปตามเงื่อนไขที่กำหนด (เช่น การปิดด่าน หรือทำลายความสามารถทางการทหารประเทศภาคีที่ละเมิด)
สำหรับความรับผิดระหว่างประเทศ (International Responsibility) ประเทศภาคีที่ละเมิดต้องรับผิดชอบในความผิดอาญา และชดใช้ค่าเสียหาย ทั้งทางแพ่งและทางอาญา โดยในทางอาญา การดำเนินคดีอาชญากรรมระหว่างประเทศ สำหรับการละเมิดกฎหมายมนุษยธรรม (เช่น การทรมาน การก่ออาชญากรรมสงคราม) สามารถนำสู่ศาลอาญาระหว่างประเทศ (ICC) หรือระบบศาลพิเศษได้ และค่าเสียหายในทางแพ่ง สามารถเรียกร้องผ่านการดำเนินคดีผ่าน ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ หรือ ศาลอาญาระหว่างประเทศ (ICC)
สถานการณ์ที่เกิดขึ้น ระหว่างไทยกับกัมพูชา ที่ผ่านมากัมพูชาไม่เคยแสดงความจริงใจในการยุติการสู้รบอย่างแท้จริง แต่กลับมีผู้นำประเทศอื่น อาศัยเหตุของความขัดแย้งเพื่อสร้างความมีชื่อเสียง และการยอมรับนับถือของตนเอง บนซากศพและความสูญเสียจากการสู้รบ
ดร.รุจิระ บุนนาค
กรรมการผู้จัดการ
Marut Bunnag International Law Office
rujira_bunnag@yahoo.com
Twitter : @RujiraBunnag
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี