วันก่อน ค้นหาหนังสือเก่าที่บ้าน บังเอิญไปพบเอกสาร 2 แผ่น เก็บใส่ซองไว้เป็นอย่างดี เอกสารที่ว่านั้น เป็นลายมือของคนคนหนึ่ง เขียนไว้ดังนี้
ครับ นี่คือเอกสารสำเนาลายมือของ เปลื้อง วรรณศรี ที่เขียนเล่าประวัติชีวิตตนเองอย่างย่อๆ ทิ้งไว้ก่อนถึงแก่กรรมที่เมืองคุนมิง สาธารณรัฐประชาชนจีน
เปลื้อง วรรณศรี อาจเป็นชื่อที่ไม่คุ้นหูสำหรับคนรุ่นหลัง แต่กับคนรุ่นก่อนที่สนใจการบ้านการเมือง และวงวรรณกรรม น้อยคนนักที่จะไม่รู้จักเขา
คนที่รู้จัก “นายผี” หรือ อัศนี พลจันทร์ ย่อมต้องรู้จัก “นายสาง” หรือ เปลื้อง วรรณศรี
เปลื้อง วรรณศรี เป็นคนสุภาพ และถ่อมตน ประวัติและวีรกรรมอันองอาจกล้าหาญของเขา จึงมีมากกว่าที่เขาเขียนไว้มาก!
ปี 2484 เปลื้อง วรรณศรี ในวัย 19 ปี ก็เช่นเดียวกับเด็กหนุ่มอีสานทั้งหลายที่พกพาความฝันจากที่ราบสูงเดินทางเข้ากรุงเทพฯ ด้วยเงินออมที่เก็บหอมรอมริบไว้จากอาชีพครูประชาบาล
ที่กรุงเทพฯ เปลื้องทำงานเป็นครูเทศบาล และเรียนต่อไปด้วย
เขาเป็นนักเรียนเตรียม มธก. รุ่นที่ 5 และเป็นนักศึกษา มธก. ในเวลาต่อมา พร้อมกับทำงานหาเลี้ยงตนไปด้วย
และ ณ ที่นี้เอง หน้าประวัติศาสตร์ชาติไทยก็ต้องบันทึกชื่อ เปลื้อง วรรณศรี ไว้เป็นครั้งแรก ด้วยเหตุที่เขาเป็นหนึ่งในผู้นำนักศึกษา มธก. ที่ออกมาเคลื่อนไหวเมื่อวันที่ 11 ตุลาคม 2494 เพื่อทวงคืนมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และการเมืองจากคณะทหารที่นำโดยจอมพล ป. พิบูลสงคราม ซึ่งฉวยโอกาสยึดครองมหาวิทยาลัยไว้ตั้งแต่เกิดกบฏแมนฮัตตั้นปลายเดือนมิถุนายนปีเดียวกัน
ในการเคลื่อนไหวครั้งนั้น เปลื้อง วรรณศรี ได้เขียนบทกวีลงหนังสือ “ธรรมจักร” ซึ่งมีวรรคทองที่เป็นอมตะ ที่คนธรรมศาสตร์ยังนำมากล่าวกันจนทุกวันนี้คือ
“หากขาดโดมเจ้าพระยาท่าพระจันทร์ ก็ขาดสัญลักษณ์พิทักษ์ธรรม”
วันที่ 10 พฤศจิกายน 2495 หรืออีก 1 ปีต่อมา เปลื้อง วรรณศรี พร้อมนักเขียนและนักหนังสือพิมพ์อีกหลายคน เป็นต้นว่า กุหลาบ สายประดิษฐ์ (ศรีบูรพา) สุภา ศิริมานนท์ นเรศ นโรปกรณ์ อุทธรณ์ พลกุล (งาแซง) สุพจน์ ด่านตระกูล ฯลฯ ถูกจับเข้าคุกพร้อมนักต่อสู้อีกหลายคนของขบวนการสันติภาพ ขบวนการกู้ชาติ พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย และกลุ่มชาวนาบ้านคูซอต จังหวัดศรีสะเกษ ในฐานที่ต่อต้านระบอบเผด็จการทหารของจอมพล ป. และต่อต้านสงครามรุกรานในเกาหลี ซึ่งเรียกกันต่อมาว่า “กบฏ 10 พ.ย.” หรือ “กบฏสันติภาพ”
เปลื้อง และ คณะ “กบฏสันติภาพ” ติดคุกอยู่ 5 ปี จึงได้รับนิรโทษกรรมเนื่องในโอกาสฉลองกึ่งพุทธกาล (พ.ศ. 2500)
เมื่อออกจากคุก เปลื้องเข้าทำงานเป็นบรรณาธิการนิตสาร “ปิตุภูมิ” รายสัปดาห์ และลงสมัครผู้แทนราษฎรที่สุรินทร์ ได้รับการเลือกตั้งเป็น ส.ส. เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2500
ในช่วงเวลาเหล่านั้น สหรัฐอเมริกาพยายามแผ่อิทธิพลเข้ามาในไทยและภูมิภาคเอเชียอย่างเต็มที่เพื่อต่อสู้กับอิทธิพลของลัทธิคอมมิวนิสต์ รัฐบาลไทยตกอยู่ใต้อาณัติและการครอบงำของสหรัฐอเมริกาเต็มตัว เปลื้อง วรรณศรี ได้เขียนกวีอีกบทหนึ่งวิพากษ์วิจารณ์ และเย้ยหยันรัฐบาลที่เอาแต่ตามก้นอเมริกาว่า
“ตามเขา ต๊อกต๊อก ต๊อกต๊อก
โลกเอ่ย ไทยชาติ ลูกจ๊อก
ยังดัน ตามเขา ต๊อกต๊อก
ลูกจ๊อก! ไทยเป็น ลูกจ๊อก!”
วันที่ 20 ตุลาคม 2501 ขณะเป็น ส.ส. ได้ยังไม่ครบปี เปลื้อง วรรณศรีถูกรัฐบาลจอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ จับกุมในข้อหาคอมมิวนิสต์ ภายหลังเดินทางกลับจากการประชุมนักเขียนที่เมือง Tashkent สหภาพโซเวียต เขาถูกขังลืมฟรีๆ ถึง 8 ปี จึงถูกปล่อยออกมาเนื่องจากทางการหาหลักฐานเอาผิดอะไรไม่ได้จึงขอถอนฟ้อง
แต่กระนั้นทั้ง CIA และรัฐบาลก็พยายามข่มขู่คุกคามและหาทางจับกุมคุมขังเขาอีกเป็นครั้งที่ 3 ถึงตอนนี้ เปลื้อง วรรณศรี จึงตัดสินใจเข้าป่า เปลี่ยนหนทางการต่อสู้อย่างสันติในเมืองเป็นการต่อสู้ด้วยอาวุธในชนบท
เขาเดินเท้าจากเทือกเขาภูพานไปยังลาว ผ่านไปเตรื่องเซิน เวียดนาม แล้วขึ้นเครื่องบินต่อไปยังสาธารณรัฐประชาชนจีน ไปจนถึงกรุงปักกิ่ง ก่อนจะมาพำนักที่คุนมิง
ผมพบ เปลื้อง วรรณศรี ที่คุนหมิง ในที่พักรับรองอันสมฐานะที่ทางการจีนจัดไว้ให้
พบเขาในชื่อ “สหายจำรัส” หรือที่พวกเราเรียกเขาว่า “ลุงจำรัส”
“ลุงจำรัส” ที่ผมพบ อยู่ในร่างของชายชราที่กรำศึกมาทั้งชีวิต ในร่างของชายชราผู้เปี่ยมด้วยองค์ความรู้และประสบการณ์ ชายชราผู้อุทิศชีวิตทั้งชีวิตให้กับอุดมการณ์ที่เขาศรัทธาและประเทศชาติที่เขารัก
แม้ในวัยที่ควรพักผ่อน และสุขภาพที่ไม่แข็งแรง “ลุงจำรัส” ยังคงทำงานหนักและนอนดึก เขาอ่านหนังสือต่างๆ ที่ส่งไปจากเมืองไทยอย่างละเอียด ใช้ปากกาขีดเขียน และทำหมายเหตุไว้เพื่อสามารถสรุป กลั่นกรอง และให้คำแนะนำที่เป็นประโยชน์ กิจกรรมยามว่างของเขา คือการปลูกไม้ดอกในกระถาง และคลุกข้าวให้แมวที่เลี้ยงไว้
ช่วงวิกฤติศรัทธา ช่วงที่การปฏิวัติกำลังพ่ายแพ้ นักศึกษา รวมทั้งผู้นำการต่อสู้ในเมืองหลายคนที่เคยออกมาประกาศการต่อสู้ด้วยอาวุธร่วมกับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย ทยอยกันออกไปมอบตัวกับทางการ บางคนกระทั่งหันกลับมาวิจารณ์ด่าว่าพรรคคอมมิวนิสต์อย่างสาดเสียเทเสีย เปลื้อง วรรณศรี หรือ “ลุงจำรัส” อ่านคำวิจารณ์ด่าว่าเหล่านั้นจากหนังสือสิ่งพิมพ์ที่ส่งไปจากเมืองไทยด้วยอาการสงบนิ่ง
ผมไม่เคยเห็น เปลื้อง วรรณศรี หรือ “ลุงจำรัส” แสดงอาการโกรธขึ้งหรือไม่พอใจต่อคำวิจารณ์ด่าว่าเหล่านั้น แต่สิ่งที่ผมสัมผัสได้คือ “ลุงจำรัส” เสียใจ
แกพูดกับผมด้วยดวงตาที่มีน้ำเอ่อรื้นขอบตาว่า
“คนไทยเราสมัยก่อนถือกันมาก..... ถ้ากินข้าวหม้อเดียวกันแล้ว จะไม่มาด่าว่ากัน”
ผมพบ เปลื้อง วรรณศรี หรือ “ลุงจำรัส” อีกครั้ง ภายหลังจากที่จีนเปลี่ยนแปลงนโยบายยกเลิกการหนุนช่วยการปฏิวัติของพรรคพี่น้องและหันไปจับมือกับรัฐบาลในประเทศต่างๆ ที่เคยเป็นศัตรูกับตน
เปลื้อง วรรณศรี หรือ “ลุงจำรัส” ไม่ได้อยู่ในบ้านพักรับรองหลังเดิม แต่ถูกย้ายให้ไปอยู่ในห้องเล็กๆ ห้องหนึ่งบนแฟล็ตที่สร้างขึ้นใกล้ๆ กับบ้านพักหลังเดิม สุขภาพของลุงแย่ลง แต่หัวใจยังแข็งแกร่งเหมือนเดิม
วันสุดท้ายของชีวิต ลุงถูกหามเข้าโรงพยาบาล และกลับออกมาเพียงร่างที่ไร้ลมหายใจ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี