ชาวบ้านโดยทั่วไป และโดยเฉพาะที่เป็นคอการเมือง ก็มักจะเห็นว่าพรรคประชาธิปัตย์นั้นเป็นสถาบันการเมืองที่เก่าแก่ น่าเชื่อถือ ในบริบทการบ้านการเมืองแบบประชาธิปไตย บางคนบางกลุ่มก็เห็นว่าพรรคประชาธิปัตย์เป็นความหวังของชาติบ้านเมือง
แต่ไม่นานเดือนนานปีมานี้ พรรคประชาธิปัตย์กลับดูเหมือนจะหายไปจากความทรงจำของผู้คน โดยเฉพาะในเรื่องชื่อเสียง ศักดิ์ศรี เกียรติภูมิ ต่างดูไม่เหลือหรอแต่อย่างใด
ความเสื่อมศรัทธาและความน่าเชื่อถือมิได้มาจากการทำลายล้างจากภายนอกแต่อย่างใดแต่ได้เกิดขึ้นจากความเป็นไปภายในพรรคประชาธิปัตย์เอง
พรรคประชาธิปัตย์ติดสันดอนต่างๆ เช่น ความคิดอ่านและการกระทำแบบเดิมๆ คือ
1.พึ่งตัวองค์บุคคลไม่กี่คน พึ่งวิธีการเข้าถึงประชาชนแบบเดิมๆ
2.การเดินเคาะประตูหาเสียงและการปราศรัยที่มักจะพูดแต่เรื่องในอดีต
3.ประเด็นหาเสียงที่มักจะซ้ำซากเฉพาะเรื่องเฉพาะกรณี ไม่ทันการณ์ และไม่มีภาพใหญ่ (The big picture) เกี่ยวกับความต้องการของประเทศชาติ และทิศทางที่จะดำเนินการเพื่อบรรลุเป้าหมาย เป็นต้น
นอกจากนั้นการบริหารจัดการภายในพรรคก็ค่อนข้างจะกระจุกตัว โดยการได้มาซึ่งคณะผู้บริหารพรรค เป็นการได้มาจากกลุ่มบุคคลที่มีและเคยมีตำแหน่งแห่งหน ทั้งในพรรค ในสภาผู้แทน และในคณะรัฐบาล รวมประมาณ 250-300 คน โดยสมาชิกพรรคเป็นหมื่นๆ คน มิได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับพรรคแต่อย่างใด ทั้งที่ร่วมกันเป็นเจ้าของพรรค
ปัญหาที่ร้ายแรงที่สุดก็คือ การที่กลุ่มผู้มีตำแหน่งแห่งหนมีความคิดว่า ถ้าได้เข้าอยู่ร่วมในคณะรัฐบาลผสม เพราะพรรคได้รับตำแหน่งรัฐมนตรี 2-3 คน ก็เป็นการเพียงพอแล้ว โดยไม่คิดอ่านให้พรรคมีความแข็งแกร่งและใหญ่โตยิ่งขึ้น เพื่อจะได้ตอบสนองความต้องการของสมาชิกพรรคและผู้ลงคะแนนสนับสนุนและประชาชนพลเมืองโดยทั่วไป ซึ่งถือเป็นความเห็นแก่ตัวอย่างหนึ่ง ที่เอาผลประโยชน์ของตัวเป็นที่ตั้ง เอาพรรคและสมาชิกเป็นแค่เครื่องมือกลไก แต่มิได้เอาพรรคและสมาชิกเป็นที่ตั้งเพื่อตอบสนองและรับใช้
พรรคประชาธิปัตย์จึงกำลังติดสันดอนด้วยประการฉะนี้ แต่ก็ยังไม่เป็นเรื่องที่จะเกินวิสัยที่จะแก้ไขได้ โดยสมาชิกพรรคต้องออกมาแสดงบทบาทร่วมกันเป็นเจ้าของพรรค เรียกร้องให้มีการแก้ไขปรับปรุงกฎเกณฑ์กติกาให้มีความเป็นประชาธิปไตยภายในพรรคยิ่งขึ้น เพื่อขจัดความเป็นอภิสิทธิ์ชนของบางคนบางกลุ่มภายในพรรค และฉะนั้นทุกคนต้องหันกลับมาช่วยกันฟื้นฟูพรรค ทั้งเพื่อเป็นการตอบแทนบุญคุณของพรรค และทั้งเพื่อเป็นการแสดงสปิริตที่มีต่อส่วนรวม
จุดเริ่มต้นใหม่ และใหญ่ ก็น่าจะอยู่ที่การวางพื้นฐานให้พรรคมีความเป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริง ซึ่งก็จะได้แก่ การให้สมาชิกพรรคลงคะแนนเลือกตั้งหัวหน้าพรรค อีกทั้งพรรคสามารถที่จะแยกงานบริหารออกจากงานการเมืองโดยฝ่ายบริหารให้มีหัวหน้าในนามประธานพรรค (Chairman) ส่วนงานการเมืองก็ให้มีหัวหน้าพรรค (Party leader) เสมือนการจัดการบริหารพรรคแบบทัพหน้าทัพหลัง
นอกจากนั้นก็ต้องมีการทบทวนอุดมการณ์พรรคว่า ยังอยู่ในทิศทางและบริบทของเสรีนิยมและประชาธิปไตย หรือเสรีประชาธิปไตย ที่มีใจต่อสังคม คือมุ่งแก้ไขความเหลื่อมล้ำในสังคมและส่งเสริมความเสมอภาคและทัดเทียม และในส่วนที่เกี่ยวกับการต่างประเทศ ควรจะมีนโยบายที่มุ่งให้ไทยมีความเป็นตัวของตัวเอง เป็นประเทศเป็นกลาง และไม่ผูกพันเป็นแนวร่วมเชื่อมโยงกับกลุ่มประเทศหรือประเทศหนึ่งใด (Non-aligned) เป็นต้น
ในการนี้ผู้บริหารพรรคชุดปัจจุบันก็ต้องมีใจที่เปิดกว้าง พร้อมรับฟัง เพื่อจะได้พินิจพิจารณาประเด็นปัญหาและแนวทางออก และต่างก็มีประสบการณ์ทางการเมืองกันมามากมายพอสมควรที่จะตระหนักรู้ว่า ปัญหาคืออะไร และทางออกเป็นอย่างไร โดยมิเอาอัตตาของตัวเองเป็นที่ตั้ง
มิเช่นนั้น พรรคประชาธิปัตย์ก็คงยากที่จะพาตัวเองออกจากสันดอนที่เป็นอุปสรรคขัดขวางการเติบโตของพรรค และจะเหลือเป็นเพียงตำนานของการเมืองไทยอีกบทเท่านั้น
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี