ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับกัมพูชาในปัจจุบันนี้ไม่ค่อยราบรื่น มีการปะทะกันที่ชายแดนด้วยกำลังทหาร แถมยังมีการปะทะกันด้วยคารม ด้วยอารมณ์ร้อนแรงด้วยความรักชาติอย่างคลั่งไคล้และโกรธแค้น รังเกียจเดียดฉันท์อีกฝ่ายหนึ่ง โดยการปะทะคารมเป็นไปด้วย 2 วิถีทางด้วยกัน คือด้วยฝีปากของฝ่ายโฆษกของแต่ละฝ่ายจากเมืองหลวงและการมีถ้อยแถลงที่เวทีระหว่างประเทศ เช่นที่ องค์การสหประชาชาติ และการเรียกร้องไปยังผู้นำประเทศต่างๆ เพื่อขอความเห็นใจและการสนับสนุน เพื่อบีบคั้นอีกฝ่ายหนึ่ง
แม้ว่าการพบปะหารือในระดับต่างๆของไทยและกัมพูชาจะมีการออกแถลงการณ์ร่วมกันที่บ่งบอกว่าได้มีการตกลงกันที่จะยุติความขัดแย้ง และปรับกระบวนยุทธเพื่อความสัมพันธ์ภาคปกติจะพึงได้กลับมา แต่พฤติกรรมกับคำพูดกลับเป็นไปในทิศทางของการเร้าใจลัทธิชาตินิยม การปรักปรำกล่าวหากันว่า อีกฝ่ายหนึ่งเป็นตัวละเมิดและเป็นตัวก่อกวน กลายเป็น “สงครามน้ำลาย” ทำให้การเร้าอารมณ์ดำเนินกันต่อไปอย่างไม่ลดละ ซึ่งทั้งสองฝ่ายดูจะมีความพร้อมที่จะอยู่กันไปแบบนี้
แต่ทุกสิ่งทุกอย่างก็มิใช่จะมืดมนไปเสียทั้งหมด ก็ขึ้นอยู่ที่ว่าจะมีการตั้งสติถอยออกมาสักหนึ่งก้าว และตั้งคำถามว่าที่ไปที่มาของเรื่อง “ตั้งปืน” เข้าใส่กัน แล้ว “ถ่มน้ำลาย” เข้าใส่กันนั้นเริ่มมาจากไหน? และใคร? หรืออะไรเป็นต้นเหตุและเป็นตัวขับเคลื่อน? ซึ่งหากทราบต้นตอของปัญหา หนทางออกก็อยู่ในวิสัยที่จะเกิดขึ้นได้
ตระกูลหรือราชวงศ์การเมืองที่ยิ่งใหญ่สุดของกัมพูชาก็คือ ตระกูลฮุน ซึ่งมีผู้นำพ่อ-ลูก คือ สมเด็จฮุนเซน และสมเด็จฮุน มาเนต (ตำแหน่งสมเด็จนั้นตั้งกันขึ้นมาเองไม่ได้มีประชาชนพลเมืองกัมพูชาเป็นผู้เสนอ หรือว่าพระมหากษัตริย์กัมพูชาพระราชทานลงมา) และฉะนั้นความเป็นไปทุกเรื่องภายในกัมพูชา และที่เขตแดนกัมพูชากับประเทศเพื่อนบ้าน ไม่ว่าจะเกิดขึ้นอย่างไร ก็เป็นไปด้วยบทบาทและคำสั่งของสมเด็จพ่อ-ลูกคู่นี้เท่านั้น การที่ทหารกัมพูชาระดมชาวบ้านมากวนประสาทฝ่ายไทยตามจุดต่างๆ ของเขตแดนไทย-กัมพูชา จะเกิดขึ้นเองมิได้นอกจากจะได้รับคำสั่งจาก 2 สมเด็จพ่อ-ลูกเท่านั้น ซึ่งก็ไม่มีอะไรที่จะเร้าใจ และช่วยเบี่ยงเบนความเดือดร้อนในชีวิตประจำวันชาวกัมพูชา ไปได้เท่ากับการหาเรื่องหาราวกับฝ่ายไทยเพราะมันช่วยปลุกระดมชาวกัมพูชาได้ง่ายที่สุด อีกทั้งคำสั่งของสมเด็จพ่อ-ลูก เป็นคำสั่งประกาศิต ที่มิมีชาวกัมพูชาหนึ่งใดที่จะขัดขืนได้ ด้วยต่างเกรงกลัวยิ่ง กับการที่จะต้องถูกลงโทษด้วยวิธีการต่างๆ ถ้าไม่เชื่อฟังและปฏิบัติตาม
ก่อนหน้านี้ สมเด็จฮุนเซน กับนายทักษิณ ชินวัตร ยอดผู้ยิ่งใหญ่ของไทย ต่างมีความสนิทชิดเชื้อกันเป็นอย่างยิ่ง และมากหลายด้วยผลประโยชน์ต่างๆ ร่วมกัน แต่ในระยะหลังๆ สมเด็จพ่อ-ลูกกัมพูชา เห็นว่าฝ่ายตระกูลชินวัตรได้บิดพลิ้วคำมั่นสัญญา และข้อตกลงต่างๆ เนื่องจากไม่ได้มีอำนาจอย่างแท้จริงที่จะบริหารจัดการสังคมไทยดั่งที่สมเด็จพ่อ-ลูกสามารถบริหารจัดการได้ที่กัมพูชา อีกทั้งการปิดชายแดนไทย-กัมพูชาโดยฝ่ายกองทัพไทยได้ส่งผลกระทบโดยตรงต่ออิทธิพล ความน่าเกรงขาม และผลประโยชน์ต่างๆ ของฝ่ายสมเด็จพ่อ-ลูกจากมุมมองของสมเด็จพ่อ-ลูก กลับเห็นว่าตระกูลชินวัตรไม่ได้ช่วยปกป้องผลประโยชน์ของ 2 สมเด็จพ่อ-ลูกแต่อย่างใดเลยจึงรู้สึกโกรธแค้น แล้วก็ได้แสดงความไม่พึงพอใจด้วยการ “เล่นงาน”ฝ่ายตระกูลชินวัตร ผ่านการเปิดเผยสาระเนื้อหาของการสนทนาทางโทรศัพท์มือถือระหว่างสมเด็จฮุนเซน กับนางสาวแพทองธาร ชินวัตร ที่ได้นำไปสู่การถอดถอนนางสาวแพทองธาร ออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีไทย ซึ่งก็นำไปสู่การล้มลงของรัฐบาลที่นำโดยพรรคเพื่อไทย เรื่องราวเหล่านี้แสดงให้เห็นว่า สมเด็จฮุนเซน นั้นประสบความสำเร็จในการแก้แค้นฝ่ายตระกูลชินวัตรโดยหลังจากปฏิบัติการของสมเด็จฮุนเซน มาจนบัดนี้ นายทักษิณ ชินวัตร ก็ไม่ได้แสดงความกล้า “หือ” แต่อย่างใด ทั้งๆ ที่ปกติไม่เคยว่างเว้นที่จะสวนทุกคนในประเทศไทยที่กล้าท้าทายตัวเขา
แค่การหลุดออกจากตำแหน่งของนางสาวแพทองธารยังไม่เป็นการเพียงพอ 2 สมเด็จพ่อ-ลูกก็ยังคงระรานฝ่ายไทยต่อไปเพื่อหันเหความสนใจของชาวกัมพูชาไปจากความทุกข์ยากที่มีอยู่ อีกทั้งเป็นการเรียกร้องความสนใจ และความเห็นอกเห็นใจจากนานาประเทศโดยเฉพาะจีน และสหรัฐอเมริกา เพื่อจะได้ใช้โอ้อวดโฆษณาชวนเชื่อว่า 2 สมเด็จพ่อ-ลูกยังมีเส้นสายและยังมีราคาอยู่อีก
ในภาพรวมของปัญหาความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชานี้ก็จะเห็นเป็นที่ประจักษ์ว่า ชาวไทยและชาวกัมพูชามิได้มีปัญหาต่อกันแต่อย่างใด และโดยตลอดมาหลายๆ ปี ต่างก็ทำมาค้าขายไปมาหาสู่กันเป็นปกติ แต่ชาวไทยและชาวกัมพูชากลับถูกดึงเข้าไปพัวพัน และกลายเป็นเครื่องมือให้กับราชวงศ์การเมืองฮุนและราชวงศ์การเมืองชินวัตร ที่มีความขัดแย้งกันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ฉะนั้นการจะแก้ไขปัญหาความสัมพันธ์และการนำความสัมพันธ์กลับสู่ภาวะปกติ ก็มิใช่การไปเริ่มแก้ปัญหาที่ตรงชายแดน เพราะเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นนั้นเป็นปลายเหตุหรือปลายทางต้องกลับไปแก้ที่ต้นตอหรือต้นเหตุ คือ 2 สมเด็จพ่อ-ลูก ฮุนเซน และฮุน มาเนต โดยรัฐบาลอนุทิน ชาญวีรกุล พร้อมด้วยรัฐมนตรีต่างประเทศและรัฐมนตรีกลาโหม จะต้องหันไปต่อกรกับสองสมเด็จพ่อ-ลูกโดยตรง ซึ่งในการพูดจากับสองสมเด็จพ่อ-ลูก ในอนาคต รัฐบาลไทยก็ต้องสำทับไปให้สองสมเด็จพ่อ-ลูกตระหนักอย่างสุดซึ้งว่า รัฐบาลชุดใหม่ของไทยนี้ไม่เต้นแร้งเต้นกาไปด้วยเป็นอันขาด โดยสิ่งที่ฝ่ายไทยต้องการที่จะเห็นให้เกิดขึ้นคือ
1.การยุติกิจการยวนประสาทต่างๆ ตลอดแนวชายแดนไทย-กัมพูชา
2.การกู้ระเบิดและทำลายระเบิดที่ฝ่ายกัมพูชาได้ฝังไว้ ทั้งทางด้านกัมพูชา และทางด้านไทยออกไปให้หมดภายในระยะเวลาสิ้นปีนี้
3.การถอนอาวุธหนักจากใกล้บริเวณชายแดนให้กลับไปยังที่ตั้ง เพื่อแสดงความจริงใจที่จะไม่คุกคาม หรือเสริมสร้างการเผชิญหน้า
4.การจัดตั้งจุดและเส้นทางการรักษาความปลอดภัยร่วม เพื่อขจัดและป้องกันอาชญากรรมข้ามชาติต่างๆ
5.การให้ฝ่ายกัมพูชาตระหนักว่า ฝ่ายไทยมีแสนยานุภาพที่เหนือกว่า มีทุนทรัพย์ที่มากกว่าที่จะดำเนินการสงครามได้ยาวนานกว่าทางฝ่ายกัมพูชา
6.ฝ่ายไทยตระหนักรู้ว่า ฝ่ายจีนหรือฝ่ายสหรัฐอเมริกาก็ดี จะไม่ให้การสนับสนุนทางด้านอาวุธยุทโธปกรณ์ต่อฝ่ายกัมพูชา และฝ่ายไทยพร้อมที่จะพูดจาและบีบคั้นทั้งสองประเทศอย่างเต็มที่ และจะแจ้งให้ฝ่ายอาเซียนทราบ เพื่อรวมพละกำลัง เพื่อบีบคั้น 2 ประเทศนั้นด้วย
7.ทั้งสองฝ่ายต้องเลิกสงครามน้ำลายทันที และยุติการไปรบกวนสร้างความสับสนวุ่นวายให้กับมิตรประเทศในเวทีระหว่างประเทศต่างๆ
8.ในขณะเดียวกัน ประเทศไทยจะจับมือกับมิตรประเทศทั้งหลาย เพื่อบีบให้ฝ่ายกัมพูชาต้องขจัดศูนย์หลอกลวง 62 ศูนย์ทั่วกัมพูชา และจะร่วมมือกับองค์การสหประชาชาติ และมิตรประเทศทั้งหลายในการยุติการค้ามนุษย์ทุกรูปแบบ เป็นต้น
ก็หวังว่ารัฐบาลอนุทินจะตั้งหลักให้ถูก เพื่อที่จะได้เริ่มต้นแก้ไขปัญหาความขัดแย้งชายแดนไทย-กัมพูชา กันที่ต้นตอของปัญหาโดยตรง
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี