เมื่อสหรัฐอเมริกาเป็นประเทศแรกเกิดได้ไม่นาน ก็เดินหน้าเพื่อมีบทบาทในเวทีระหว่างประเทศ โดยเฉพาะการขับไล่เจ้าอาณานิคมสเปน อังกฤษ และฝรั่งเศส ออกไปจากทวีปอเมริกาเหนือ และอ่าวเม็กซิโก (ถึงแม้ว่าขณะนั้น อังกฤษจะยังครอบครองแคนาดา แต่ก็ไม่สามารถคุกคามสหรัฐอเมริกาได้แต่อย่างใด)
ทั้งนี้สหรัฐฯ ก็ขยายตัวจากภาคตะวันออกติดมหาสมุทรแอตแลนติก ไปยังภาคตะวันตกติดมหาสมุทรแปซิฟิก และเคลื่อนต่อไปขับไล่สเปนออกจากหมู่เกาะฟิลิปปินส์ แล้วไปบีบบังคับให้ทั้งญี่ปุ่นและจีนเปิดประเทศเพื่อการทำมาค้าขาย จนในปี ค.ศ. 1833 (พ.ศ. 2476) สหรัฐฯ ประเทศเกิดใหม่ก็ทำความตกลงกับสยามประเทศ ซึ่งประสบความสำเร็จในการขับไล่พม่าออกไปจากดินแดน และตั้งราชธานีใหม่ที่กรุงธนบุรี และต่อมาที่กรุงรัตนโกสินทร์ จัดได้ว่าสยามประเทศก็เป็นประเทศเกิดใหม่เช่นกัน
ทั้งสยามประเทศ และสหรัฐอเมริกา ก็มีมิตรไมตรีต่อกันมาโดยตลอดจนถึงสงครามโลกครั้งที่สอง แพทย์อเมริกัน นักการศึกษาอเมริกัน และนักสอนศาสนาคริสต์อเมริกัน ก็ได้เข้ามาทำงานถ่ายทอดองค์ความรู้และเผยแผ่ศาสนาโดยอิสรเสรีและเปิดเผย เพราะสังคมสยามเปิดกว้างและใจกว้าง ชาวสยามไม่มีความรู้สึกนึกคิดว่า ฝ่ายอเมริกันอยากเข้ามาครอบงำ ครอบครองหรือแผ่ขยายอิทธิพลแต่อย่างใด ความสัมพันธ์และมิตรไมตรีระหว่างสยามประเทศกับสหรัฐฯ ในช่วงประมาณ 100 ปีแรก จึงเป็นไปด้วยความราบรื่น ด้วยความเคารพและไว้เนื้อเชื่อใจต่อกันและกัน ทั้งนี้ทั้งสยามประเทศและสหรัฐฯ ต่างก็ได้ส่งกองกำลังทหารไปร่วมรบที่ยุโรปในช่วงสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง
เมื่อสงครามโลกครั้งที่สองอุบัติขึ้น ฝ่ายญี่ปุ่นเปิดฉากรุกรานสหรัฐอเมริกาที่หมู่เกาะฮาวาย และยกทัพขึ้นบกที่ทางตอนใต้ของสยามประเทศ กองกำลังไทยที่มีอยู่น้อยนิดได้ทำการต่อสู้อย่างโดดเดี่ยว ไม่มีการสนับสนุนช่วยเหลือใดๆ จากสหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร ฝรั่งเศส และเนเธอร์แลนด์ ฝ่ายรัฐบาลไทยในขณะนั้นได้ตัดสินใจถนอมประเทศและรักษาความเป็นอธิปไตยให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ โดยการยินยอมให้ฝ่ายญี่ปุ่นเคลื่อนทัพเข้าสู่สยามประเทศ เพื่อไปทำสงครามกับฝ่ายสหราชอาณาจักรที่พม่าและอินเดีย พร้อมกับคุกคามกองกำลังของฝ่ายสหราชอาณาจักรที่แหลมมลายู
การเป็นพันธมิตรกับญี่ปุ่นช่วยขจัดอิทธิพลและการคุกคามจากเจ้าอาณานิคมฝรั่งเศสต่อสยามประเทศทางด้านอินโดจีน และการได้กลับคืนมาซึ่งพระตะบอง เสียมเรียบ และศรีโสภณ ทั้งนี้ขบวนการเสรีไทยก็ได้เกิดขึ้น เพื่อต่อต้านญี่ปุ่น โดยได้รับการสนับสนุนจากสหรัฐอเมริกา และสหราชอาณาจักร จนเมื่อสงครามโลกสิ้นสุดลง สยามประเทศต้องคืนดินแดนบางส่วนให้กับฝรั่งเศสและสหราชอาณาจักร แต่มิได้ถูกกำหนดให้เป็นประเทศผู้พ่ายแพ้สงครามดังที่สหราชอาณาจักรและฝรั่งเศสประสงค์ เพราะสหรัฐฯ ไม่เห็นด้วยและทำการคัดค้าน ทำให้สยามประเทศรอดพ้นจากการเป็นผู้พ่ายแพ้ เพียงแต่ต้องทำการชดเชยค่าเสียหายเป็นข้าวจำนวนประมาณ 1 ล้านตัน ให้กับฝ่ายสหราชอาณาจักร
จากนั้นมาความสัมพันธ์สยามประเทศกับสหรัฐอเมริกาก็กระชับยิ่งขึ้น เมื่อทั้งสองประเทศได้เข้าร่วมเป็นภาคีสนธิสัญญาว่าด้วยการป้องกันความมั่นคงของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (สปอ. / ซีโต้) และไทยกับสหรัฐฯ ก็ร่วมเป็นพันธมิตรในสงครามคาบสมุทรเกาหลี และต่อมาในสงครามอินโดจีน กล่าวคือทั้งไทยและสหรัฐฯ ร่วมกันอยู่ในค่ายโลกเสรี ต่อสู้กับโลกคอมมิวนิสต์หลังม่านเหล็ก
เมื่อโลกคอมมิวนิสต์หายไปกับการล่มสลายของสหภาพโซเวียตพี่เบิ้มใหญ่ ก็จัดได้ว่าสหรัฐฯ ไทย และประเทศในโลกเสรีทั้งหลายได้ประสบความสำเร็จในการมีชัยเหนือโลกและลัทธิคอมมิวนิสต์ ต่อมาไทยและสหรัฐฯ ก็ได้ร่วมกันต่อต้านลัทธิการก่อการร้ายสากลที่กำเนิดมาจากลัทธิหัวรุนแรงสุดโต่งทางด้านศาสนา และชาติพันธุ์นิยม นอกจากนั้นในกรอบของอุดมการณ์โลกเสรีไทยและสหรัฐฯ ต่างมีความเชื่อถือในเรื่องสิทธิเสรีภาพและสิทธิมนุษยชน และมุ่งมั่นที่จะมีชีวิตความเป็นอยู่ภายใต้ระบอบประชาธิปไตย และการทำอาชีพค้าขาย ทำมาหากิน ภายใต้ระบอบเศรษฐกิจการตลาดเสรีที่ภาคธุรกิจเอกชนเป็นแกนนำและผู้ขับเคลื่อน โดยฝ่ายรัฐเป็นผู้กำหนดกฎเกณฑ์กติกาและกำกับดูแลการบังคับใช้บนหลักการของความเที่ยงธรรม ยุติธรรม และเป็นผู้สนับสนุนและบริการ
ในมุมกว้างไทยและสหรัฐอเมริกา ต่างเป็นผู้ปฏิบัติและเป็นผู้มีความเชื่อในหลักการว่าด้วยการเชื่อมโยงและพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกันภายในบริบทและกรอบของโลกที่อยู่ร่วมกันที่เรียกว่าโลกยุคโลกาภิวัตน์ และการจะทำการหนึ่งใดก็เป็นเรื่องของการร่วมมือ ร่วมแรง ร่วมใจ ปรึกษาหารือกัน หรือการอยู่ในกรอบของลัทธิร่วมมือแบบพหุภาคี (Multilateralism) ซึ่งปรากฏการณ์ที่เห็นได้ชัดก็คือ การที่โลกมีองค์การสหประชาชาติ และองค์กรเครือข่ายต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นธนาคารโลก สถาบันการเงินระหว่างประเทศ และองค์การการค้าโลก เป็นต้น ซึ่งโดยตลอดมาสหรัฐฯ จะเป็นประเทศออกค่าบำรุงสมาชิกมากที่สุดคือประมาณร้อยละ 18
แต่มาบัดนี้ความคิดอ่านของสังคมอเมริกันโดยทั่วไป เริ่มกลับหันมามองประเด็นปัญหาภายในและเห็นว่าสหรัฐฯ ควรจะดูแลตนเองมากกว่าที่จะไปให้ความสนใจกับเรื่องภายนอก และฉะนั้นสหรัฐฯ ไม่ควรจะต้องแบกภาระ ประเทศต่างๆ ต้องช่วยเหลือตนเองและไม่โยนภาระความรับผิดชอบให้กับสหรัฐฯ หรือมาเอารัดเอาเปรียบอีกต่อไป และในที่สุดสังคมสหรัฐฯ ก็ได้ผู้นำเป็นประธานาธิบดีชื่อ โดนัลด์ ทรัมป์ ที่ได้ประกาศแน่ชัดว่า อเมริกาต้องมาก่อน (America first) และอเมริกาต้องยิ่งใหญ่(The great America)
ในสภาพการณ์ของการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวที่สหรัฐอเมริกา ประเทศต่างๆ ก็ต้องปรับตัว จะยึดติดกับความคิดเดิมๆ ความเชื่อเดิมๆ ข้อตกลงและพันธกรณีเดิมๆ อีกมิได้แล้วในการดำเนินความสัมพันธ์กับสหรัฐฯ สำหรับไทยสนธิสัญญาปี ค.ศ. 1833 (พ.ศ. 2476) และข้อตกลงทวิภาคีอื่นๆ ที่มีขึ้นต่อมา ไปจนถึงสนธิสัญญาซีโต้ และการเป็นพันธมิตรทางอุดมการณ์และความมั่นคงทางทหาร รวมทั้งการที่ฝ่ายสหรัฐฯ ในช่วงประธานาธิบดี ดับบลิว บุช ที่กำหนดให้ประเทศไทยเป็นพันธมิตรที่สำคัญของสหรัฐฯ ที่มิใช่เป็นสมาชิกองค์การนาโต (Major Non-NATO Align) ก็ดูจะไร้ความหมายไปเสียแล้ว เพราะสหรัฐฯ มิได้ให้ความสนอกสนใจหรือมีเยื่อใยกับฝ่ายไทยดังเช่นเคยอีกต่อไป หรือนัยหนึ่งความสำคัญของไทยในสายตาของสหรัฐฯ ลดลง ความผูกพัน เยื่อใย ก็จืดจางลง เพราะสหรัฐฯ สนใจแต่เรื่องของตัวเองดังกล่าว และเห็นว่าในละแวกภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เวียดนามและฟิลิปปินส์มีความสำคัญมากกว่าไทย และในมุมกว้างในระดับเอเชียแปซิฟิก หรือในระดับภูมิภาคมหาสมุทรอินเดียและมหาสมุทรแปซิฟิก ประเทศที่อยู่ในสายตาสหรัฐฯ คือ ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ไต้หวัน ออสเตรเลีย อินเดียและอินโดนีเซีย
ฉะนั้นไทยต้องมาทบทวนตัวเอง และจะต้องมีการปรึกษาหารือกันอย่างกว้างขวางภายในวงการต่างๆ และร่วมกันเพื่อให้ได้เห็นภาพรวมและเห็นพ้องร่วมกัน เพื่อจะได้ปรับท่าทีหรือกำหนดท่าทีของไทยให้เหมาะสม
ทั้งนี้ ก็มีข้อคิดในชั้นนี้ว่า สหรัฐฯ กำลังต่อกรกับจีนซึ่งต้องการพันธมิตรและผู้ร่วมอุดมการณ์ โดยในแง่ตรงข้าม เช่นเดียวกับฝ่ายจีนที่ต้องการพันธมิตรเช่นกัน และฉะนั้นคำถามที่ฝ่ายไทยทุกวงการต้องถามตัวเองก็คือ จะไปเข้ากับจีน หรือสหรัฐฯ ด้วยเหตุผลใด? หรือจะอยู่กับตัวเองเป็นกลางแต่เป็นมิตร และคบหาสมาคมกับทุกฝ่าย
สำหรับผู้เขียนเองเห็นว่า ประเทศไทยควรจะเป็นกลาง และควรจะขับเคลื่อนให้อาเซียนเป็นกลางด้วย เพื่อความเป็นตัวของตัวเอง และเป็นภูมิคุ้มกันให้กับอาเซียนเอง
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี