ท่ามกลางความตึงเครียดระหว่างประเทศยักษ์ใหญ่ของโลก ภัยพิบัติธรรมชาติการปะทะกันระหว่างประเทศเพื่อนบ้าน สงครามกลางเมือง การถดถอยของเศรษฐกิจการค้า และความไม่แน่นอนของชีวิตประจำวัน แต่ความเป็นไปในโลกกว้างก็มิได้จะดูมืดมน สิ้นหวังไปเสียหมด เพราะโลกก็มีเหตุการณ์ มีเรื่องมีราวสอดแทรกเข้ามาที่จะบำรุงขวัญและเสริมสร้างความคาดหวังขึ้นมาได้บ้าง
การที่ประชาชนพลเมืองที่ศรีลังกา บังกลาเทศ เนปาล อินโดนีเซีย ติมอร์ตะวันออก และเมียนมา ได้ลุกขึ้นมาต่อต้านพฤติกรรมอันไม่ชอบมาพากลต่างๆ ของบรรดาผู้นำประเทศ เป็นการสะท้อนให้เห็นว่า ประชาชนพลเมืองเหล่านี้พร้อมที่จะต่อสู้เพื่อความถูกต้องชอบธรรม และพร้อมที่จะปลดแอกตัวเองจากการใช้อำนาจหน้าที่ที่ไม่ถูกต้อง เป็นการมุ่งเปลี่ยนแปลงความเป็นไปในสังคมประเทศของตนเอง และการให้กำลังใจซึ่งกันและกันเพื่ออนาคตที่ดีกว่า
จากเหตุการณ์การวางตัวตนแบบ “ข้าไปคนเดียว”ของสหรัฐอเมริกา ได้สร้างความตระหนกตกใจและความสะเทือนไปทั่วโลก แต่ก็มิได้นำไปสู่ความท้อแท้และถอดใจหลายๆ ประเทศสามารถตั้งสติและตั้งหลักได้โดยเฉพาะความมุ่งมั่นที่จะช่วยตัวเอง พึ่งพาตัวเองเป็นสำคัญ และมองหามิตรประเทศ เพื่อจะร่วมมือช่วยเหลือเกื้อกูลกัน เพื่อประคองตัวให้ไปข้างหน้าได้อย่างมั่นคงให้ได้ในระดับหนึ่ง
จีนและอินเดียจะกลับมาหันหน้าเข้าหากัน เพื่อปรับความสัมพันธ์เพื่อให้ไปทิศทางความร่วมมือ แสวงหาจุดร่วม แทนที่จะมึนตึง เผชิญหน้า และขัดแย้งกันต่อไป
ล่าสุดประเทศยุโรปตะวันตกเริ่มให้การรับรองและสนับสนุนการที่จะให้ชาวอาหรับปาเลสไตน์มีประเทศของตนเองเคียงข้างกับประเทศอิสราเอลของชาวยิว เป็นการบ่งบอกว่าต้องการเห็นความสมดุลระหว่างสถานะและศักดิ์ศรีของชาวอาหรับปาเลสไตน์ และชาวยิวอิสราเอล ซึ่งก็จะเป็นการส่งสัญญาณให้ฝ่ายอิสราเอลทราบ และตระหนักว่าการเอาความต้องการของตนเป็นที่ตั้งเพียงอย่างเดียวไม่เป็นการเพียงพอ จะถูกคัดค้านต่อต้านยิ่งขึ้นเรื่อยๆ จำเป็นที่ฝ่ายอิสราเอลจะต้องคิดถึงเรื่องสันติภาพ และกลับสู่โต๊ะเจรจา ขณะเดียวกันฝ่ายสหรัฐฯ ที่เป็นพี่เลี้ยงของฝ่ายอิสราเอล ก็ต้องคำนึงได้แล้วว่า ฝ่ายยุโรปตะวันตกมิใช่ “เด็กในอาณัติ” ไปได้โดยตลอด แต่พร้อมที่จะมีความเห็นต่างที่ยืนหยัดอยู่บนหลักการและความชอบธรรม
ในทวีปแอฟริกาภาคตะวันตก ก็เห็นการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญ คือการปลดแอกของบรรดาประเทศในละแวก 4-5 ประเทศ จากอิทธิพลค้างคาของฝรั่งเศส อดีตเจ้าอาณานิคม ต่างเริ่มสร้างความเป็นตัวของตัวเองและเริ่มพัฒนาความสัมพันธ์กับจีน รัสเซีย และสหรัฐอเมริกา เพื่อศักดิ์ศรีและความอยู่รอด
โดยทั่วไปสังคมเสรีประชาธิปไตยในประเทศต่างๆ ทั่วโลก แม้ว่าจะมีความกระท่อนกระแท่นอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ถดถอยหรือถอยหลังเข้าคลอง ประเทศไทยของเราก็จะมีกฎหมายรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่จะช่วยเสริมสร้างความเจริญก้าวหน้าและความมั่นคงของความเป็นสังคมเสรีประชาธิปไตย ที่ประเทศเวียดนามแม้ว่ายังตกอยู่ในอาณัติของพรรคคอมมิวนิสต์ แต่พรรคคอมมิวนิสต์ก็ได้ออกคำสั่งที่จะปิดฉากเศรษฐกิจแบบรัฐนำพา ไปสู่เศรษฐกิจแบบตลาดเสรีอย่างเต็มที่ให้ได้ภายในระยะเวลาไม่เกิน 20 ปีข้างหน้า
ทั้งนี้ความก้าวหน้าทางด้านเทคโนโลยีการสื่อสารที่คืบหน้าอยู่ตลอดเวลา ได้กลับกลายมาเป็นเครื่องมืออันสำคัญยิ่งของการพัฒนาสังคมเสรีประชาธิปไตย สื่อสังคม (Social media) คือเครื่องมือกลไกของการติดต่อในแนวราบ และเสริมสร้างพลังของประชาชนพลเมืองที่สามารถท้าทายและกำกับอำนาจตามแนวดิ่งที่ไม่ชอบมาพากลได้ อำนาจที่มิชอบ อำนาจเถื่อนต่างๆจะไม่สามารถทนทานและคงอยู่อย่างถาวรได้
โลกกำลังสูงขึ้น ก็ออกมาช่วยกันคนละไม้คนละมือ
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี