วันพุธ ที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2568
เวลาเราดูและวิเคราะห์ประเด็นการเมืองไทย เราต้องดูไปที่ตัวนักการเมือง ขณะเดียวกัน ก็ต้องดูไปถึงผู้มีสิทธิเลือกตั้ง แต่มากกว่านั้นก็ยังต้องดูไปถึงทุกฝ่ายที่มีความเกี่ยวข้องกับพรรคการเมืองทุกพรรค เพราะแต่ละฝ่ายที่กล่าวถึงนั้นล้วนแล้วแต่มีผลต่อกันและกันทั้งโดยตรงและโดยอ้อม
หากเราจะตั้งคำถามต่อไปว่า แล้วการเมืองไทยในระยะ 20 ปีที่ผ่านมา ดีขึ้นหรือเลวลงกว่าระยะก่อนหน้านั้น ประเด็นนี้เป็นเรื่องที่คนไทยผู้ติดตามการเมืองเมืองไทยต่างตอบได้ชัดเจน และที่สำคัญมากกว่านั้นคือนักการเมืองต้องตอบคำถามนี้ได้ชัดเจนยิ่งกว่าใครๆ ทุกคนบนแผ่นดินนี้
ทุกวันนี้มีการตั้งคำถามโดยคนไทยว่านักการเมืองจำนวนไม่น้อยในประเทศไทย โดยเฉพาะนักการเมืองระดับต่างๆ ซึ่งเริ่มตั้งแต่นักการเมืองระดับท้องถิ่นไปจนถึงนักการเมืองระดับชาติมีความซื่อสัตย์สุจริต มีคุณภาพ มีคุณธรรม และมีจรรยาบรรณของนักการเมืองหรือไม่
ขณะเดียวกันก็มีการวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักว่านักการเมืองจำนวนไม่น้อยในประเทศไทย มีความเกี่ยวข้องเกี่ยวพันกับเรื่องไม่สุจริต หากจะพูดให้ตรงประเด็นคือ เป็นนักการเมืองที่ไม่มีความเป็นนักการเมืองมืออาชีพ การที่หนักกว่านั้นคือถูกวิพากษ์ว่านักการเมืองบางคนเข้ามาอยู่ในแวดวงการเมือง เพราะต้องการใช้อำนาจรัฐแสวงหาผลประโยชน์โดยมิชอบให้ตัวเอง และใช้อำนาจรัฐเพื่อฟอกขาวให้ตัวเองรอดพ้นจากความผิดสารพัดชนิดที่ตนเองเข้าไปเกี่ยวข้อง
อันที่จริงหากจะพูดให้ครอบคลุมก็คงจะต้องพูดไปถึงตำรวจบางคนด้วย เพราะตำรวจจำนวนหนึ่งถูกมองว่าสมคบคิดกับนักการเมือง แล้วร่วมกันก่อเหตุทุจริตสารพัดชนิดบ้านเมืองของเรา
แต่อย่างไรก็ตาม บทความในวันนี้จะยังไม่เปิดประเด็นไปถึงภาพลักษณ์ที่สุดแสนชั่วร้ายของตำรวจ แต่ก็ต้องย้ำว่าภาพลักษณ์ของตำรวจไทยไม่ดีเลยในสายตาของคนไทย ดังนั้น เมื่อถามถึงความเลวร้ายของตำรวจไทยในการรับรู้ของสาธารณชน ก็จะได้รับคำตอบเหมือนๆ กันคือ หากตำรวจไม่ร่วมมือกับโจร โจรก็ไม่สามารถปฏิบัติการได้ แต่ถ้าหากตำรวจร่วมมือกับโจร ไม่ว่าโจรเหล่านั้นจะเป็นนักการเมือง หรือคนกลุ่มไหนก็ตาม ก็ต้องยอมรับว่าตำรวจกับโจร หรือโจรกับตำรวจ ก็คือคนกลุ่มเดียวกัน
ย้อนกลับไปที่นักการเมืองจำพวกเลวร้ายในบ้านเราที่ถูกสาธารณชนตั้งคำถามว่า ทำไมคนพวกนี้จึงต้องการมีอำนาจรัฐ ด้วยการกระเสือกกระสนทุรนทุรายเข้าไปเป็น สส. ให้จงได้ โดยไม่สนใจว่ากรรมวิธีการได้เป็น สส. จะชั่วช้าเลวทรามและโสโครกมากมายสักเพียงใด ดังพบเห็นเป็นประจำว่ามีการวิพากษ์เรื่องการซื้อเสียงในทุกกิจกรรมของกระบวนการทางการเมือง โดยเริ่มต้นตั้งแต่นักการเมืองระดับท้องถิ่น ไล่เรื่อยไปจนถึงนักการเมืองระดับชาติ ทั้งนี้จะได้ยินว่าการซื้อเสียงในการเลือกตั้งผู้ใหญ่บ้าน กำนัน รวมถึงการเลือกตั้ง อบต. (องค์การบริหารส่วนตำบล) นายกเทศบาล และ อบจ. (องค์การบริหารส่วนจังหวัด) และรวมถึงการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร หรือ สส.
เพราะฉะนั้นจึงไม่ต้องแปลกใจที่เราไม่สามารถแยกกันได้อย่างเด็ดขาดระหว่างโจร เจ้าพ่อ เจ้าแม่ ผู้ค้าของเถื่อน เจ้าของบ่อน เจ้าของซ่อง สแกมเมอร์ ผู้ฟอกเงิน ผู้ค้ามนุษย์ ฯลฯ กับ สส. เนื่องจากคนในกลุ่มที่เราพูดถึงนี้สามารถสลับสับเปลี่ยนกันไปมาได้ตลอดเวลา ดังนั้นเราจึงมีนักการเมืองที่ในบางโอกาสเราสามารถรู้ได้ว่าเขาคือโจร แต่ขณะเดียวกัน เขาก็เข้าไปทำมาหากินอยู่ในรัฐสภาของไทยได้ แต่ที่มากกว่านั้นคือบางรายสามารถเข้าไปเป็นรัฐมนตรีได้อีกด้วย
เพราะฉะนั้นจึงไม่ต้องประหลาดใจเมื่อเวลาสาธารณชนตั้งคำถามกับนายกรัฐมนตรีว่า เมื่อไร วันไหนจะลงมืออย่างจริงจังเพื่อปราบ scammers ปราบกลุ่มทุนเทา หรือปราบทุนสีดำ และปราบพวกฟอกเงิน แล้วแทนที่นายกรัฐมนตรีจะตอบคำถามให้ชัดเจน ก็กลับเกิดอาการฉุนเฉียว ไม่พอใจผู้ถาม แต่ที่ประหลาดยิ่งกว่าคือนายกรัฐมนตรีบอกว่าถ้ามีข้อมูลว่าใครคือ scammers ใครคือผู้ฟอกเงิน ใครคือกลุ่มทุนสีเทาหรือสีดำ ก็ขอให้บอกกับรัฐบาล หรือไม่ก็ให้แจ้งความกับตำรวจโดยตรง
เมื่อนายกรัฐมนตรีพูดแบบนี้ ก็ทำให้เกิดคำถามตามมาว่าเมื่อรัฐบาลได้รับการแจ้งจากประชาชนว่าได้รับความเดือดร้อนจากแก๊งมิจฉาชีพ หรือได้ข้อมูลจากนักข่าวเรื่องแก๊งมิจฉาชีพ แล้วทำไมนายกรัฐมนตรีจึงไม่ปราบปรามแก๊งอาชญากรเหล่านั้น ทำไมนายกรัฐมนตรีจึงถามผู้ที่ได้รับความเดือดร้อน หรือถามนักข่าวว่ามีข้อมูล มีชื่อผู้กระทำผิด และมีหลักฐานหรือไม่
ขอย้ำว่าการที่นายกรัฐมนตรีมีคำถามดังกล่าวนั้น มันคือการปฏิเสธการทำหน้าที่ปราบปรามแก๊งอาชญากร และทำให้เกิดปัญหาตามมาว่า การที่นายกรัฐมนตรีทำเสมือนนิ่งดูดายในเรื่องที่ก่อให้เกิดผลร้ายอย่างรุนแรงกับประชาชน เป็นเพราะว่านายกรัฐมนตรีไม่ใส่ใจในปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน หรือเป็นเพราะว่านายกรัฐมนตรีเกรงอกเกรงใจใครบางคนเป็นพิเศษหรือเปล่า หรือเป็นเพราะว่านายกรัฐมนตรีมั่นใจว่าไม่มีนักการเมืองคนใดเกี่ยวข้องกับการฟอกเงิน หรือกระบวนการค้ามนุษย์ หรือการส่งออกทองคำจากไทยไปกัมพูชาเป็นจำนวนมากอย่างผิดสังเกต หรืออาจจะเกี่ยวข้องกับแก๊ง scammers
น่าประหลาดเหลือที่รัฐบาลไทยไม่เคย ระบุถึงแก๊งอาชญากรที่เกี่ยวข้องกับ scammers ที่มีมากมายในประเทศกัมพูชา และเมียนมา หรือไม่สนใจปราบปรามแก๊งฟอกเงิน พี่ใช้ประเทศไทยเป็นแหล่งฟอกเงิน น่าประหลาดใจที่คนไทยถูกล่อลวงโดยแก๊งอาชญากรดังกล่าว จนได้รับความเสียหายปีละเป็นเงินประมาณ 100,000 ล้านบาท และเจอปัญหานี้มานานหลายปีแล้ว แต่รัฐบาลไทยก็กลับนิ่งเฉย แต่เมื่อดูการแก้ปัญหานี้โดยรัฐบาลสหรัฐฯ อังกฤษ และเกาหลีใต้ รวมถึงรัฐบาลสิงคโปร์ และรัฐบาลอีกหลายประเทศในสภาพยุโรป ที่เร่งรัดเพื่อออกมาตรการปราบปรามแก๊งอาชญากรรมที่เกี่ยวข้องกับการฟอกเงินและกระบวนการต้มตุ๋น ดังเห็นได้ชัดเจนจากการปฏิบัติการที่เข้มงวดโดยฉับพลันจากรัฐบาลเกาหลีใต้ ทั้งๆ ที่ คนเกาหลีใต้ได้รับความเดือดร้อนจากแก๊ง scammers ในกัมพูชาน่าจะน้อยกว่าคนไทยที่ได้รับความเดือดร้อนจากแก๊งอาชญากรในกัมพูชา แต่กลายเป็นว่ารัฐบาลไทยนิ่งเฉยกับการแก้ปัญหา จนทำให้ถูกวิพากษ์ว่า การที่รัฐบาลไทยเฉยเมยกับเรื่องนี้น่าจะเป็นเพราะมีส่วนเกี่ยวข้องด้านใดด้านหนึ่งกับแก๊งอาชญากรหรือเปล่า หรือว่ารัฐบาลยอมรับว่านักการเมืองในสภาของไทยน่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับแก๊งอาชญากรรมที่ใช้กัมพูชาและเมียนมา รวมถึงไทยเป็นแหล่งปฏิบัติการหลอกลวงต้มตุ๋นมนุษยชาติ

ตอกหน้าฝรั่งดูแคลน! ประภาส เปิดอภินิหารคำว่า แล้ว พิสูจน์ความลึกซึ้งที่เหนือกว่า Tense
(คลิป) สื่อเขมร รายงานจริงครั้งแรก! ไทย ใช้ F-16 ทิ้งบอมปอยเปตพังท่องเที่ยวกัมพูชา
ปราชญ์ สามสี สดุดี จ่าเริง วีรบุรุษเนิน 350 ผู้ปกป้องแผ่นดินด้วยชีวิต
ทรัมป์ กร้าว ต้องการ กรีนแลนด์ เพื่อความมั่นคงของ สหรัฐฯ
เขมรกล่าวหาไทย ทิ้งระเบิด พ่นควันพิษ เป็น อาชญากรรมสิ่งแวดล้อม

เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี