วันพฤหัสบดี ที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2568
เมื่อประมาณ 150 ปีที่แล้ว ญี่ปุ่นได้เลือกพัฒนาสภาพบ้านเมืองจากประเทศที่ไม่ข้องแวะกับผู้ใด มุ่งทำแต่กสิกรรม จนสามารถก้าวขึ้นมาเป็นประเทศอุตสาหกรรมที่พร้อมไปด้วยแสนยานุภาพทางการทหาร ระดับที่เทียบเคียงกับฝ่ายอเมริกา และยุโรป
แต่ในเวลานั้น ญี่ปุ่นได้ประกาศศักดาในการเข้าไปรุกรานทั้งจีน และเกาหลี ทั้งยังสามารถพิชิตรัสเซียในยุทธการนาวี และยังมีความสามารถในการโจมตีฐานทัพเรือสหรัฐอเมริกาที่หมู่เกาะฮาวาย จนกลายเป็นจุดเริ่มต้นของสงครามโลกครั้งที่ 2 ทางภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก อีกทั้งญี่ปุ่นก็ได้แพร่ขยายเหตุการณ์สู้รบลงมาทางด้านตะวันตกของมหาสมุทรแปซิฟิก โดยมุ่งหมายที่จะขับไล่เนเธอร์แลนด์ อังกฤษ และฝรั่งเศส ออกไปจากภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งแม้จะมีความคืบหน้าไปในระดับหนึ่ง แต่ที่สุดแล้ว ญี่ปุ่นกลับเป็นฝ่ายพ่ายแพ้สงครามและต้องยอมจำนน หลังเผชิญกับระเบิดปรมาณูของสหรัฐอเมริกาที่โจมตีนครฮิโรชิมา และนางาซากิ
หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ฝ่ายสหรัฐอเมริกาผู้ชนะสงครามได้เข้ามาปกครองญี่ปุ่น โดยเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางการเมืองของญี่ปุ่นจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ไปสู่ระบอบเสรีประชาธิปไตยที่องค์จักรพรรดิอยู่ภายใต้กฎหมายรัฐธรรมนูญ และญี่ปุ่นก็ได้ประกาศตัวเองเป็นรัฐที่ใฝ่หาสันติภาพ โดยเปลี่ยนคำเรียกกองกำลังทหารจากคำว่า กองทัพ ไปเป็นชื่อ กองกำลังป้องกันตนเอง แทน
จนกระทั่งเหตุการณ์ต่างๆ ของโลกได้มีการเปลี่ยนแปลงไป โลกได้มีการแทรกตัวเข้ามาของลัทธิสุดโต่งทางความคิดทางด้านการเมือง และความเชื่อถือทางด้านศาสนา ที่ใช้การก่อการร้ายเป็นเครื่องมือกลไก คู่ขนานไปกับการที่จีนประกาศตัวว่า จะมุ่งลด และขจัดอิทธิพลของสหรัฐอเมริกาในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก และมีความทะเยอทะยานที่จะเขยิบขึ้นมาเป็นเจ้าโลกหรือประเทศที่ทรงอิทธิพลสูงสุดแทนสหรัฐอเมริกา อีกทั้งรัสเซียก็สามารถฟื้นฟูประเทศขึ้นมาได้ ซึ่งทั้งสองประเทศคือ จีน และรัสเซีย ได้ตกลงจับมือเป็นพันธมิตรเพื่อร่วมกันต่อต้านอิทธิพลของฝ่ายตะวันตกนำโดยสหรัฐอเมริกา อีกทั้งรัสเซียก็ได้จับมือกับเกาหลีเหนือกลายเป็นมหามิตรทางด้านความมั่นคงและการทหารไปอีกทาง ในสภาพการณ์นี้ก็เท่ากับว่า ญี่ปุ่นจำต้องร่วมมือกับมิตรประเทศในเรื่องการต่อต้านการก่อการร้ายสากล คู่ขนานไปกับการต้องวางตัวให้พร้อมในการเผชิญหน้ากับภยันตรายคุกคามจาก 3 ด้านคือ จีน รัสเซียและเกาหลีเหนือ
ญี่ปุ่นจึงได้กระชับความร่วมมือทางด้านความมั่นคง และการทหารเพิ่มขึ้นเป็นลำดับกับฝ่ายสหรัฐฯ เกาหลีใต้ อินเดีย ออสเตรเลีย ฟิลิปปินส์ และเวียดนาม เช่น การร่วมกับสหรัฐฯ ออสเตรเลีย และอินเดีย ในการจัดตั้งความร่วมมือแบบ 4 เส้า (QUAD) และการร่วมมือแบบ 3 เส้า (Trilateral) กับออสเตรเลีย และอินเดีย กับสหรัฐฯ และฟิลิปปินส์ เป็นต้น
ในขณะเดียวกันญี่ปุ่นก็ได้เพิ่มงบประมาณทางด้านการป้องกันประเทศ และขยายการลงทุนในด้านอุตสาหกรรมทางทหารที่มีเป้าหมายที่จะมีการส่งออกไปขายยังประเทศต่างๆ อีกด้วย
ทั้งหมดนี้บ่งบอกว่า ญี่ปุ่นได้เดินทางมาจนห่างไกลจากอุดมการณ์ว่าด้วยการเป็นรัฐแห่งสันติภาพแล้ว และในขณะเดียวกันฝ่ายภาคการเมืองที่มุ่งไปในทิศทางของความมั่นคงก็มีความห่างเหินกับขบวนการ และกลุ่มที่รักฝักใฝ่ในเรื่องสันติภาพ เรื่องการลดอาวุธเป็นการทั่วไป และเรื่องขจัดอาวุธนิวเคลียร์เป็นการเฉพาะมากยิ่งขึ้น
แม้ภาคประชาชนญี่ปุ่นจะมีองค์กรภาคประชาชนของญี่ปุ่น (นิฮง ฮิดังเคียว) ซึ่งมีอุดมการณ์ต่อต้านอาวุธนิวเคลียร์จนได้รับรางวัลโนเบลสันติภาพเมื่อปี 2567 แต่ในภาคการเมืองของญี่ปุ่นกลับเลือกที่จะขยับตัวไปในทิศทางของความคิดอ่านที่เป็นฝ่ายขวามากยิ่งขึ้น โดยล่าสุดคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ของญี่ปุ่นภายใต้การนำพาของ นางซานาเอะทาคาอิจิ นายกรัฐมนตรีจากพรรคเสรีประชาธิปไตย (LDP) ก็เป็นที่รู้จักรับรู้กันอย่างกว้างขวางว่าเป็นฝ่ายปีกขวา ที่มุ่งมั่นในเรื่องความมั่นคงปลอดภัยของประเทศญี่ปุ่น และการเพิ่มศักยภาพของญี่ปุ่นทางด้านกิจการทหาร
การนี้ ญี่ปุ่นก็จะเดินหน้ากระชับความสัมพันธ์ทางด้านความมั่นคง และกิจการทหารกับฝ่ายสหรัฐอเมริกากันมากยิ่งๆ ขึ้น ด้วยว่าญี่ปุ่นจำเป็นที่จะต้องพึ่งพาการคุ้มกันคุ้มครอง ของสหรัฐฯ ด้วยอาวุธนิวเคลียร์ (Nuclear Umbrella) เพื่ออำนวยให้ญี่ปุ่นสามารถที่จะเผชิญหน้ากับการคุกคามของฝ่ายจีน รัสเซีย และเกาหลีเหนือ ได้ และเพื่อเป็นการตอบแทนและเอาใจฝ่ายสหรัฐฯ ญี่ปุ่นก็จะขยายการลงทุนในสหรัฐฯ ด้วยจำนวนเงินไม่ต่ำกว่า 500 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ อีกด้วย
ในสภาพการณ์เช่นนี้ ก็มีคำถามว่า แล้วบรรดาประเทศสมาชิกอาเซียนจะร่วมมือกันได้หรือไม่ ในการวางตัวให้เหมาะสมร่วมกัน หรือจะต่างคนต่างไปตามทิศทางของตน?ซึ่งผลจะออกมาเป็นอย่างไรในที่สุด ก็เป็นเรื่องที่สมาชิกอาเซียนทั้ง 11 ประเทศ จะต้องปรึกษาหารือกันอย่างใกล้ชิดและลึกซึ้ง เพราะถึงปัจจุบันนี้ ฟิลิปปินส์ จัดได้ว่า ได้เข้าไปอยู่ในค่ายของสหรัฐฯอย่างเต็มที่ และเวียดนามก็เริ่มขยับตัวเข้ามาสู่ค่ายสหรัฐฯ แต่ประเทศสมาชิกอาเซียนที่เหลือก็ยังรีๆ รอๆ และยังไม่ตัดสินใจ ซึ่งในขณะเดียวกันญี่ปุ่นก็เริ่มให้ความร่วมมือช่วยเหลือด้านความมั่นคงและกิจการทหารต่อ เวียดนามและฟิลิปปินส์ และมาเลเซีย แต่ญี่ปุ่นกับประเทศสมาชิกอาเซียนทั้ง 11 ประเทศ ก็ยังมิได้มีการปรึกษาหารือกันในกรอบ Japan ASEAN Dialogue แต่อย่างใดเลย
ก็น่าจะถึงเวลาแล้วที่จะได้เริ่มปรึกษาหารือกันเพื่อช่วยจรรโลงสันติภาพและความมั่นคง และการพัฒนาร่วมกันมากกว่าการมุ่งไปในทิศทางของการเผชิญหน้าและการสงคราม
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com

แนวหน้าวิเคราะห์ : แหล่งแร่’แรร์เอิร์ธ’-สหรัฐสนใจ อยู่ในโซนไหนของประเทศไทย
กรมอุตุฯเตือน‘13 จังหวัด’ฝนตกหนัก ‘กทม.’ฟ้าคะนอง40% ของพื้นที่
น้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ สมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวง ผู้ทรงก่อตั้ง ‘พิพิพิธภัณฑ์ผ้าฯ’ แหล่งความรู้ที่ยั่งยืนผ่านเครื่องแต่งกายในราชสำนัก
หงส์ร่วงบอลถ้วย!พ่ายพาเลซคารัง-เช็คผลทุกคู่
พร้อมกันหรือยัง!!! เปิดภาพพยากรณ์อากาศ 12-13 พ.ย. อุณหภูมิเย็นลงอีกครั้ง

เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี