ประเด็นมาตรฐานทางจริยธรรมของนายกฯ จะต้องเป็นไปตามมาตรฐานทางจริยธรรมตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ และผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระฯ พ.ศ. 2561
1. ข้อที่นายกฯอาจจะฝ่าฝืน หรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรม ตามพฤติกรรมการสนทนาในคลิปเสียงสนทนากับอังเคิล ฮุนเซน ได้แก่
“..ต้องพิทักษ์รักษาไว้ซึ่งสถาบันพระมหากษัตริย์ เอกราช อธิปไตย บูรณภาพแห่งอาณาเขต และเขตที่ประเทศไทยมีสิทธิอธิปไตย เกียรติภูมิและผลประโยชน์ของชาติ ความมั่นคงของรัฐและความสงบเรียบร้อยของประชาชน”
“ต้องถือประโยชน์ของประเทศชาติเหนือกว่าประโยชน์ส่วนตน”
“ต้องปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ไม่แสวงหาประโยชน์โดยมิชอบเพื่อตนเองหรือผู้อื่น หรือมีพฤติกรรมที่รู้เห็นหรือยินยอมให้ผู้อื่นใช้ตำแหน่งหน้าที่ของตนแสวงหาประโยชน์โดยมิชอบ”
การฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมข้างต้น
ไม่ว่าจะเป็นอย่างใด อย่างหนึ่ง ถือว่าเป็นการฝ่าฝืนมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรงทันที
เป็นเหตุให้ถูกตัดสินให้พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
ส่วนข้ออื่นๆ ที่อาจเข้าข่ายอีก เช่น
“ไม่กระทำการใดที่ก่อให้เกิดความเสื่อมเสียต่อเกียรติศักดิ์ของการดำรงตำแหน่ง”
“ไม่คบหาสมาคมกับคู่กรณี ผู้ประพฤติผิดกฎหมาย ผู้มีอิทธิพล หรือผู้มีความประพฤติหรือมีชื่อเสียงในทางเสื่อมเสีย อันอาจกระทบกระเทือนต่อความเชื่อถือศรัทธาของประชาชนในการปฏิบัติหน้าที่”
หากฝ่าฝืนมาตรฐานทางจริยธรรมข้อเหล่านี้ จะถือว่ามีลักษณะร้ายแรงหรือไม่ ให้พิจารณาถึงพฤติกรรมของการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตาม
ซึ่งกรณีของนายกฯอุ๊งอิ๊งค์เป็นเรื่องที่กระทบต่อความมั่นคง งานปกป้องดูแลอธิปไตยของแผ่นดิน ศักดิ์ศรีของประเทศชาติ จึงเป็นเรื่องสำคัญและร้ายแรง
ย่อมเป็นเหตุให้ถูกตัดสินให้พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีได้เช่นกัน
2. ประเด็นที่จะต้องพิจารณา อาทิ
2.1 คนเป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศไทย กล่าวกับศัตรูคู่ปรปักษ์ของประเทศ ทำนองว่า แม่ทัพภาคที่ 2 เป็นคนของฝั่งตรงกันข้ามกับเรา
ย่อมหมายถึง แม่ทัพภาคที่ 2 เป็นฝั่งตรงกันข้ามกับนายกรัฐมนตรีไทยและฮุนเซน
เป็นพฤติกรรมด้อยค่าดูหมิ่นดูแคลนนายทหารระดับสูง ทำลายเกียรติยศของทหารไทยและเกียรติภูมิของกองทัพไทย หรือไม่
แม่ทัพได้รับการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งโดยพระมหากษัตริย์ ในฐานะองค์จอมทัพไทย
แม่ทัพทำหน้าที่ปกป้องประเทศชาติ ประชาชน และสถาบันพระมหากษัตริย์ ไม่ปรากฏว่าทำอะไรผิด (ตอนหลังจากคลิปหลุด นายกฯ ยังต้องแสดงออกให้สังคมเห็นถึงการสนับสนุนแม่ทัพ)
ประเด็นนี้ หากฟังได้ว่าเป็นการเข้าข่ายทำลายเกียรติยศของทหารไทยและเกียรติภูมิของกองทัพไทยตัวคนพูดที่เป็นถึงนายกรัฐมนตรี อาจเข้าข่ายไม่ซื่อสัตย์สุจริต และฝ่าฝืนมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรง
2.2 คนเป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศไทย กล่าวกับศัตรูคู่ปรปักษ์ของประเทศ ทำนองว่า หากนายฮุนเซนประสงค์อยากได้อะไร ให้ติดต่อโดยตรง จะจัดการให้
ย่อมหมายถึง การเสนอความพร้อมที่จะยื่นผลประโยชน์ให้บุคคลที่เป็นคู่ปรปักษ์กับประเทศชาติในขณะนั้น
หากแม้นไม่มีหลักฐานว่าฮุนเซนและประเทศกัมพูชาได้รับประโยชน์อะไร การเสนอเช่นนั้น ก็ยังเป็นการกระทำที่ไม่เหมาะสมต่อเกียรติศักดิ์ตำแหน่งของนายกรัฐมนตรีของประเทศไทยกับพฤติการณ์ที่ไปเสนอให้อังเคิลเช่นนั้น อาจเข้าข่ายไม่ซื่อสัตย์สุจริตและฝ่าฝืนมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรงด้วย
3. ฝ่ายนายกฯอุ๊งอิ๊งค์ ชี้แจงเป็นหนังสือไปที่ศาลรัฐธรรมนูญ บางตอน ระบุว่า
“...ข้าพเจ้าให้ความสําคัญต่อปัญหาข้อพิพาทตามแนวชายแดนไทย - กัมพูชา และได้ติดตามการแก้ไขปัญหาดังกล่าว โดยตลอด โดยมีการปฏิบัติหน้าที่ร่วมกับทหารและฝ่ายความมั่นคงอย่างเป็นเอกภาพ
สาระสําคัญใน คลิปเสียง คงมีเพียงการพูดคุยระหว่างข้าพเจ้ากับ สมเด็จฮุนเซน เกี่ยวกับปัญหาตามแนวชายแดนระหว่างไทย กับกัมพูชา ในฐานะที่ข้าพเจ้ากับสมเด็จฮุนเซน รู้จักกันมาก่อน โดยมีเจตนาเพื่อต้องการลดการเผชิญหน้าและ ความรุนแรงที่อาจเกิดขึ้น อันจะนํามาซึ่งความสูญเสียของทั้งสองฝ่าย ข้าพเจ้าไม่ได้มีการกระทําใดและไม่มีเจตนาที่จะทําให้ประเทศต้องเสียเกียรติภูมิหรือผลประโยชน์ของชาติหรือทําให้กระทบต่อเอกราชอธิปไตยบูรณภาพแห่งอาณาเขตที่ประเทศมีสิทธิอธิปไตยแต่ประการใด และเหตุที่ต้องมีการพูดคุยกับสมเด็จฮุนเซน ก็เพื่อต้องการรักษาความมั่นคงของรัฐและความสงบเรียบร้อยบริเวณแนวชายแดน ไม่ได้เป็นไปเพื่อเอื้อประโยชน์ใดให้แก่ประเทศกัมพูชาหรือสมเด็จฮุนเซน ไม่ได้ก่อให้เกิดผลผูกพันตามกฎหมายใดๆ ต่อประเทศ จึงไม่ได้ทําให้ประเทศต้องได้รับความเสียหายแต่อย่างใด
นอกจากนี้ เพียงการสนทนาพูดคุยดังกล่าวก็ไม่ได้มีข้อเท็จจริงอันจะถือว่าข้าพเจ้าไม่มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์แต่อย่างใด
...สําหรับถ้อยคําสนทนาที่มีการพูดถึงแม่ทัพภาคที่ 2 นั้น ข้าพเจ้าก็ได้แถลงผ่านสื่อมวลชน อย่างเป็นทางการถึงเจตนาอันแท้จริงและได้เข้าพบแม่ทัพภาคที่ 2 เพื่อทําความเข้าใจ ซึ่งแม่ทัพภาคที่ 2 ก็มิได้ ติดใจในคําพูดของข้าพเจ้าแต่อย่างใด ซึ่งเรื่องดังกล่าวก็มิได้สร้างความแตกแยกของคนในชาติ หรือแสดงให้เห็นว่าข้าพเจ้ากระทําการอันไม่ซื่อสัตย์สุจริต หรือฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรงแต่อย่างใด เช่นกัน...”
4. คุณ “ทนายบ้านๆ” เขียนบทวิเคราะห์ในสำนักข่าวอิศรา ประเมินว่า “ข้อต่อสู้ของนายกรัฐมนตรีจากคำชี้แจงต่อศาลรัฐธรรมนูญ ฟังขึ้นหรือไม่?”
ระบุไว้น่าคิดว่า
“ประการแรก ข้อต่อสู้ของนายกรัฐมนตรีไทยอ้างเทคนิคการเจรจาต่อรองทำนอง ว่า ตนต้องเสแสร้งแกล้งเข้าข้างนายฮุนเซน เพื่อล้วงเอาความลับของนายฮุนเซน ออกมาว่า นายฮุนเซนต้องการอะไร จึงแกล้งกล่าวว่าแม่ทัพภาคที่ 2 เป็นคนของฝ่ายตรงกันข้ามนั้น ข้อต่อสู้ข้อนี้รับฟังได้ยาก เพราะนายกรัฐมนตรีไทยไม่จำเป็นต้องเสแสร้งแกล้งเข้าข้างนายฮุนเซน นายกรัฐมนตรีไทยย่อมทราบความต้องการของนายฮุนเซนและประเทศกัมพูชาในฐานะผู้ดำรงตำแหน่งระดับสูงของประเทศไทยก่อนการเจรจาแล้วว่า ความต้องการของเขา คือ ให้ประเทศไทยเปิดด่าน เขาพูดสำทับในการเจรจาอีกครั้งหนึ่งทำนองว่าเมื่อไทยเปิดด่านเมื่อใด เขาก็จะเปิดด่านตาม นายฮุนเซนยังพูดด้วยว่าความผิดของการปิดด่านเป็นของไทยเอง ไทยจึงต้องเปิดด่านก่อน
ประการที่สอง ข้อต่อสู้ที่ว่านายกรัฐมนตรีไทยไม่ได้รับประโยชน์อะไรจากการเจรจาความเมืองทางโทรศัพท์ นั้น ก็น่าจะรับฟังได้ยาก เพราะเนื้อหาการสนทนาปรากฏชัดแล้วว่า นายกรัฐมนตรีขอให้นายฮุนเซน ไปทำอะไรก็ได้ให้นายฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชามาทำความตกลงเปิดด่านกับตน อันเป็นถ้อยคำที่แสดงถึงเจตนาที่จะได้รับประโยชน์จากการทำความตกลง เพื่อหวังการได้ชื่อเสียงจากการเจรจานั่นเอง
ประการที่สาม ข้อต่อสู้ที่ว่าเป็นการกระทำโดยสุจริต ไม่มีเจตนาให้ประเทศไทยได้รับความเสียหายและประเทศไทยไม่ได้รับความเสียหายนั้น ยิ่งเป็นข้อต่อสู้ที่รับฟังไม่ได้
เพราะการกระทำโดยสุจริต ภาษากฎหมายหมายถึงการไม่รู้ถึงข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น แต่คดีนี้นายกรัฐมนตรีไทยรู้อยู่เต็มอกว่ากัมพูชาต้องการให้ไทยเปิดด่าน และการเปิดด่านเป็นไปเพื่อผลประโยชน์โดยตรงของกัมพูชา ขณะเดียวกันนั้นได้เซาะกร่อนบ่อนทำลายอำนาจต่อรองและศักดิ์ศรีในการปิดด่านตามยุทธวิธีของกองทัพไทย
การที่นายกรัฐมนตรีไทยมีเจตนาเปิดด่านเพื่อผลประโยชน์ของประเทศกัมพูชา จึงเป็นการกระทำที่มีผลโดยตรงให้กองทัพไทยเสียหายและเสียเกียรติภูมิ อันเป็นการกระทำที่แสดงออกถึงความไม่ซื่อสัตย์สุจริตและฝ่าฝืนมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรง”
5. เมื่อวันที่ 26 ส.ค.นายสมชาย แสวงการ นายแพทย์ตุลย์ สิทธิสมวงศ์, นายคมสัน โพธิ์คง และนายนิติธร ล้ำเหลือ ได้ยื่นเอกสารให้ป.ป.ช. เพื่อขอให้ไต่สวนข้อเท็จจริง ชี้มูลความผิดดำเนินคดีอาญา กับนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กรณีคลิปเสียงคุยกับฮุนเซน
กล่าวหาว่า นายกฯอุ๊งอิ๊งค์ได้ทําการในลักษณะร่วมสมคบกับประเทศกัมพูชา กระทําการอันเป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติ
ระบุว่า บทสนทนาของนางสาวแพทองธาร ดังกล่าว ทําให้วิญญูชนและสาธารณชนเข้าใจว่า พวกเรา หมายถึงนางสาวแพทองธาร ชินวัตร เป็นพวกเดียวกับประเทศกัมพูชา ซึ่งปัจจุบันกัมพูชากระทําการในลักษณะเป็นอริราชศัตรูของราชอาณาจักรไทยที่ทําการรุกล้ำดินแดนไทยในหลายจุด โดยกล่าวอ้างว่าเป็นดินแดนของประเทศกัมพูชา และเป็นข้อพิพาทตามแนวชายแดน มีการปะทะกันของทหารตามแนวชายแดนที่ช่องบก สามเหลี่ยมมรกต อําเภอน้ำยืน จังหวัดอุบลราชธานี จนมีการตรึงกําลังทหารและอาวุธยุทโธปกรณ์ตลอดแนวชายแดนไทย- กัมพูชา อีกทั้ง นายฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีของประเทศกัมพูชายังประกาศว่าจะนําประเด็นข้อพิพาทตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา เสนอต่อศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ ซึ่งทางกองทัพไทยได้มีมาตรการกดดันตอบโต้ด้วยการปรับเปลี่ยนเวลาเปิด-ปิดด่านตลอดแนวชายแดนไทย-กัมพูชา และมาตรการกดดันตอบโต้การกระทําของประเทศกัมพูชาอีกหลายเรื่อง
ข้อความการสนทนา อาจมีลักษณะเป็นการคบคิดกับผู้ร่วมสนทนา กระทําการเพื่อประโยชน์ของรัฐต่างประเทศที่เป็นปรปักษ์ต่อราชอาณาจักรไทย หรือคบคิดกับบุคคลซึ่งกระทําการเพื่อประโยชน์ของรัฐต่างประเทศในทางที่เป็นปรปักษ์ต่อรัฐ หรือไม่
โดยนำเสนอข้อมูลลำดับเหตุการณ์ประกอบ ดังนี้
“2.1 ภายหลังจากบทสนทนาระหว่าง นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายฮุนเซน และนายฮวด เผยแพร่บนสื่อสังคมออนไลน์แล้ว ความปรากฏว่า กองบัญชาการกองทัพไทยได้มีหนังสือด่วนที่สุด ที่ กห. 0300/850 ลงวันที่ 9 มิถุนายน 2568 เรื่องขอนําเรื่องมาตรการยกระดับการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี และการค้ามนุษย์ตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา เข้าที่ประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติ เสนอต่อสํานักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติความสรุปดังนี้ “จึงขอให้สํานักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติได้กรุณาเสนอมาตรการแก้ไขปัญหาอาชญากรรมทางเทคโนโลยี การค้ามนุษย์ และบ่อนการพนันในกัมพูชา เข้าที่ประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติ โดยเร่งด่วน ดังนี้”
“2.1 แจ้งให้ฝ่ายกัมพูชาเร่งรัดปราบปรามผู้ก่ออาชญากรรมทางเทคโนโลยีและ การค้ามนุษย์ในทุกพื้นที่ทันที จับกุมและบังคับใช้กฎหมายต่อผู้กระทําความผิดรวมถึง ผู้สนับสนุนทั้งหมด
2.2 ยกระดับมาตรการป้องกันและปราบปรามฯ อาทิ การตัดกระแสไฟฟ้า การระงับสัญญาณอินเตอร์เนตที่ส่งเข้าไปในพื้นที่ที่เป็นบ่อนการพนันและสแกมเมอร์ การ ควบคุมสินค้าและยุทโธปกรณ์ที่อาจจะนําไปใช้ในการก่ออาชญากรรมทางเทคโนโลยีและอาชญากรรมข้ามชาติอื่นๆ ลงนามโดยพลเอกมนัส จันดี”
หนังสือดังกล่าวเสนอสํานักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติเพื่อให้สํานักงานสภาความมั่นคงแห่งชาตินําเข้าที่ประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติโดยเร่งด่วน เพื่อยกระดับมาตรการฯ ต่อเนื่องตามมติสภาความมั่นคงแห่งชาติ เมื่อวันที่ 6 มิถุนายน 2568 ที่มอบหมายให้กองทัพบก และกองทัพเรือ ดําเนินการควบคุมการเปิด-ปิดจุดผ่านแดนทุกประเภท ตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา
2.2 ตามรายงานของสื่อมวลชน จะมีการประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติ ในวันที่ 16 มิถุนายน 2568 แต่ไม่ปรากฏว่ามีการประชุมในวันดังกล่าว มีแต่สื่อมวลชนรายงานข่าวว่า รัฐบาล โดยนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และในฐานะประธานสภาความมั่นคงแห่งชาติ ได้ จัดตั้งศูนย์เฉพาะกิจบริหารสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา (ศบ.ทก.)และนายฮวดเกิดขึ้นวันที่ 15 มิถุนายน 2568
หากพิจารณาเรื่องวันเวลา การสนทนาระหว่างนางสาวแพทองธาร ชินวัตร กับนายฮุนเซน 15 มิถุนายน 2568 ภายหลังจากกองบัญชาการกองทัพไทยได้เสนอเรื่อง มาตรการยกระดับฯ เพื่อให้เข้าที่ประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติโดยเร่งด่วนแล้ว และต่อมาปรากฏว่า ไม่มีการประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติ ในวันที่ 16 มิถุนายน 2568 แต่อย่างใด แต่มีการตั้งศูนย์ (ศบ.ทก.) แทน จนปัจจุบันมาตรการยกระดับฯ ตามหนังสือของกองบัญชาการกองทัพไทย ยังไม่มีการดําเนินการแต่อย่างใด ก่อให้เกิดผลประโยชน์ต่อกัมพูชา”
พฤติการณ์การกระทําของนางสาวแพทองธาร ชินวัตร ได้ก่อให้เกิดผลกระทบความเสียหายต่อเกียรติภูมิและผลประโยชน์ของชาติ ความมั่นคงของรัฐ เศรษฐกิจของประเทศ และความสงบเรียบร้อยของประชาชน กระทบต่อการปฏิบัติการทางการทหาร การทูต และการข่าวกรอง อย่างมีนัยสําคัญ รวมไปถึงเกียรติภูมิแห่งสถานะตําแหน่งนายกรัฐมนตรี...
อย่างไรก็ตาม นั่นคือการแจ้งให้ตรวจสอบดำเนินคดีในส่วนของอาญา แต่ขณะนี้ นายกฯอุ๊งอิ๊งค์ ยังถือเป็นผู้บริสุทธิ์อยู่
6. ประการสำคัญ อย่าลืมว่า คดีที่ศาลรัฐธรรมนูญ เป็นการตัดสินความเหมาะสมที่จะดำรงตำแหน่งนายกฯต่อไปหรือไม่ ฝ่าฝืนมาตรฐานจริยธรรมหรือไม่เท่านั้น?
ยังไม่ใช่คดีอาญา ที่จะต้องพิสูจน์เจตนาเล็งเห็นผล หรือความเสียหายที่เกิดขึ้นจากการกระทำแล้ว
รอติดตามว่า ศาลรัฐธรรมนูญจะชี้ขาดอย่างไร?
ถ้านายกฯอุ๊งอิ๊งค์จะรอด คงต้องพึ่งอภินิหารกฎหมาย ?
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี