เมื่อวานนี้ (21 ส.ค. 2568) ศาลรัฐธรรมนูญได้ไต่สวนพยาน 2 ปาก ในรายนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ผู้ถูกร้อง และนายฉัตรชัย บางชวด เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ
คดี สว.ร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170วรรคสาม ประกอบมาตรา 82 ว่า ความเป็นรัฐมนตรี ของ น.ส.แพทองธารชินวัตร นายกรัฐมนตรี สิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคหนึ่ง (4) ประกอบมาตรา 106 (4) และ (5) หรือไม่ เนื่องจากไม่มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ และฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง
จากกรณีคลิปเสียงบทสนทนาระหว่าง น.ส.แพทองธาร และสมเด็จฮุนเซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา
ศาลรัฐธรรมนูญให้คู่กรณียื่นคำแถลงปิดคดี เสนอต่อศาลภายในวันที่ 25 สิงหาคม 2568 หากไม่ยื่นถือว่าไม่ติดใจยื่น
และนัดฟังคำวินิจฉัยในวันที่ 29 สิงหาคม 2568 (ตามกำหนดเดิม)
1. มีรายงานข่าวว่า ในระหว่างที่ศาลอ่านกระบวนวิธีพิจารณานั้น นายกฯอุ๊งอิ๊งค์มีสีหน้าค่อนข้างเคร่งเครียด กะพริบตาถี่ มองต่ำ เม้มปาก และกุมมือไว้ด้านหน้า พร้อมทั้งบีบนิ้วโป้ง
แต่พอจะเดินทางกลับ ออกนอกห้อง เจอสื่อมวลชน ก็มีสีหน้ายิ้มแย้ม
เมื่อผู้สื่อข่าวได้สอบถามว่ามีกำลังใจในเรื่องนี้ดีไหม? เรื่องคดีได้ทำเต็มที่แล้วใช่หรือไม่? นายกฯ อุ๊งอิ๊งค์ได้พยักหน้ารับ ก่อนที่จะเดินทางกลับ โดยไม่ให้สัมภาษณ์
2. นายสมชาย แสวงการ อดีตสว. หนึ่งในบุคคลที่ได้รับอนุญาตเข้ารับฟังการไต่สวน ให้ความเห็นว่า คลิปเสียงที่เราได้ฟังกัน ก็ชัดเจนว่า เป็นส่วนที่เกิดข้อผิดพลาดนำไปสู่ที่ สว.ยื่นว่าผิดจริยธรรมร้ายแรง ไม่ซื่อสัตย์สุจริต โดยในประมวลจริยธรรมของข้าราชการการเมืองผิดหลายข้อ
“...ถ้าท่านลาออกก่อน ศาลก็จะจำหน่ายคดี ท่านก็จะปลอดภัย ถ้าท่านไม่ลาออกในวันเกิด ยังมีเวลาอีก 7 วัน ก่อนถึง 29 ส.ค. ยังมีเวลาตัดสินใจได้ แต่แนะนำในฐานะคนมาศาลรัฐธรรมนูญ ทั้งผู้ร้อง ผู้ถูกร้อง และผู้แก้ต่าง เชื่อว่าศาลท่านให้ความยุติธรรมแน่ เพราะฉะนั้น ถ้าคุณแพทองธารเชื่อมั่นในข้อมูลก็อยู่ต่อ รอศาลวินิจฉัย แต่ผมเชื่อว่าผลจะออกมาแบบคดีนายกฯที่ผ่านมา เพราะผมมีส่วนร่วมตั้งแต่คดีคุณสมัคร สุนทรเวช คุณยิ่งลักษณ์ ชินวัตร คุณเศรษฐา ทวีสิน 3 คดีมัดรวมกันความหนักเบายังน้อยกว่าคดีคุณแพทองธารเกินครึ่ง ดังนั้น คดีคุณแพทองธารหนักมาก แนะนำวันเกิดขอให้ลาออก” - นายสมชายกล่าว
3. เนื้อหาคำชี้แจงที่นายกฯ อุ๊งอิ๊งค์ตอบคำถามในห้องพิจารณาเป็นอย่างไร ศาลมิให้เปิดเผยต่อสาธารณะ เพราะอาจกระทบความมั่นคง
แต่คาดว่า คงไม่ต่างจากแนวทางที่ในหนังสือชี้แจงก่อนหน้านี้ ความยาวกว่า 70 หน้า
นายกฯ อุ๊งอิ๊งค์ยืนยันว่า ตนเองไม่ได้ทำอะไรผิด เจตนาดีต่อประเทศชาติคำพูดที่เป็นประเด็นนั้น ก็เป็นการใช้เทคนิคเจรจา ฯลฯ
อ้างว่า “การสนทนากับสมเด็จฮุนเซน ไม่ได้ทําให้การกระทําของข้าพเจ้าเป็นการฝ่าฝืนมาตรฐานทางจริยธรรมข้อใดๆ
...ถ้อยคําสนทนาที่มีการพูดถึงแม่ทัพภาคที่ 2 นั้น ... ก็มิได้สร้างความแตกแยกของคนในชาติหรือแสดงให้เห็นว่าข้าพเจ้ากระทําการอันไม่ซื่อสัตย์สุจริต หรือฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรงแต่อย่างใด เช่นกัน ...พฤติการณ์ทั้งหมดที่ข้าพเจ้าได้ดําเนินการในฐานะนายกรัฐมนตรี กลับเป็นการแสดงออกถึงความมุ่งมั่นในการธํารงรักษาผลประโยชน์ของชาติ ความมั่นคงของประเทศ และการยึดมั่นในหลักความเหมาะสมของผู้ดํารงตําแหน่งทาง การเมืองตามที่บัญญัติไว้ในประมวลจริยธรรมดังกล่าว ...ข้าพเจ้าได้ปฏิบัติหน้าที่โดยเคร่งครัดต่อภารกิจแห่งรัฐในการธํารงไว้ ซึ่งความสงบเรียบร้อยบริเวณชายแดน ด้วยการใช้แนวทางทางการทูตควบคู่กับการวางกําลังของเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคง มิได้มีพฤติการณ์ใดอันเป็นการละเลยต่ออํานาจอธิปไตยของชาติหรือบั่นทอนเกียรติภูมิของประเทศแม้แต่น้อย หากแต่เป็นการพยายามแสวงหาความร่วมมือในระดับภูมิภาคภายใต้หลักการแห่งความเคารพซึ่งกันและกัน ซึ่งถือเป็นการดํารงเกียรติของชาติในอีกมิติหนึ่ง
...ไม่มีการกระทําข้อใดตามข้อกล่าวหาของผู้ร้องที่ข้าพเจ้าได้ประพฤติตนอันเสื่อมเสียต่อเกียรติศักดิ์แห่งตําแหน่งนายกรัฐมนตรี หรือบกพร่องต่อการปฏิบัติหน้าที่โดยสุจริตและเต็มกําลัง...”
4. อดีตผู้พิพากษาศาลฎีกา อาจารย์วัส ติงสมิตร ชี้ว่า
“... ผู้เขียนเห็นว่า ถ้อยคำที่ว่า “อยากได้อะไรก็ให้ท่าน (uncle) บอกมาได้เลยค่ะเดี๋ยวจะจัดการให้” เป็นถ้อยคำที่ส่อแสดงให้เห็นเป็นนัยว่า ขอเพียงให้คุณอาบอกความต้องการมา ตนจะดำเนินการให้ในเวลาไม่ช้า
แสดงให้เห็นอยู่ในตัวว่า ตนมีอำนาจที่จะสนองความต้องการให้ได้ หาใช่การเจรจาบนหลักการ Principled Negotiation และ Interest-Based Negotiation อันเป็นแนวคิดเกี่ยวกับการเจรจาที่เน้นความร่วมมือและผลลัพธ์ที่เป็นประโยชน์ร่วมกัน (win-win outcome) ดังที่แพทองธารกล่าวอ้างในคำชี้แจงไม่
...ผู้เขียนเห็นว่า ถ้อยคำที่แพทองธารกล่าวถึงแม่ทัพภาคที่ 2 แสดงให้เห็นอย่างชัดแจ้งว่า แพทองธารและฮุนเซนเป็นฝ่ายเดียวกัน แต่แม่ทัพภาคที่ 2 เป็นฝ่ายตรงข้าม
หาใช่การแยกคนออกจากปัญหา (Separate the people from the problem) อันเป็นหลักการข้อหนึ่งในสี่ข้อของแนวคิดเกี่ยวกับการเจรจาที่เน้นความร่วมมือและผลลัพธ์ที่เป็นประโยชน์ร่วมกัน (Principled Negotiation และ Interest-Based Negotiation) ดังที่แพทองธารกล่าวอ้างในคำชี้แจงไม่
... แพทองธารต่อสู้ว่า หากศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้ตนพ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี จะเข้าทาง ฮุนเซน ที่สามารถกำหนดทิศทางการเมืองของประเทศไทยได้
ผู้เขียนเห็นว่า หากตามข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายของไทย แพทองธารต้องพ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ซึ่งมีผลทำให้รัฐมนตรีทั้งคณะต้องพ้นจากตำแหน่งไปด้วย ศาลรัฐธรรมนูญก็ต้องสั่ง หากไม่สั่ง ศาลรัฐธรรมนูญจะกลายเป็นผู้ละเมิดรัฐธรรมนูญเสียเอง
เมื่อรัฐมนตรีทั้งคณะต้องพ้นจากตำแหน่งไป รัฐธรรมนูญได้บัญญัติกลไกให้สภาผู้แทนราษฎรดำเนินการให้มีนายกรัฐมนตรีคนใหม่และคณะรัฐมนตรีชุดใหม่เข้าบริหารราชการแผ่นดินต่อเนื่องกันไป แม้อาจต้องใช้เวลาระยะหนึ่งในการจัดตั้งรัฐบาลก็ตาม กรณีเช่นนี้ จะได้เป็นบทเรียนแก่พรรคการเมืองในการคัดกรองบุคคลมาเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี และเป็นบทเรียนแก่ประชาชนที่จะพิจารณาตัดสินใจในการใช้สิทธิหย่อนบัตรเลือกตั้ง สส. ต่อไป
...ในท้ายที่สุด ผู้เขียนเห็นว่า นอกจากปัญหาว่า แพทองธารขาดความซื่อสัตย์สุจริตอันเป็นที่ประจักษ์หรือไม่แล้ว ในส่วนปัญหาการฝ่าฝืนจริยธรรมนั้น ศาลรัฐธรรมนูญน่าจะต้องพิจารณาว่า แพทองธารพิทักษ์รักษาไว้ซึ่งเอกราช อธิปไตย บูรณภาพแห่งอาณาเขตและเขตที่ประเทศไทยมีสิทธิอธิปไตย เกียรติภูมิและผลประโยชน์ของชาติ ความมั่นคงของรัฐ และความสงบเรียบร้อยของประชาชนหรือไม่
ส่วนผู้เขียนเห็นว่า กรณีนี้เป็นเรื่องของจิ้งจอกเฒ่ากับลูกแกะ ส่งผลให้ทำลายเกียรติภูมิของนายกรัฐมนตรีไทย
เธอได้กระทำการที่ก่อให้เกิดความเสื่อมเสียต่อเกียรติศักดิ์ของการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี จนเป็นที่ดูแคลนของผู้คนทั้งภายในและระหว่างประเทศ..” - วัส ติงสมิตร
5. จากข้อมูล ข้อเท็จจริง และคำชี้แจงของนายกฯที่ปรากฏต่อสาธารณะ เชื่อว่า นายกฯอุ๊งอิ๊งค์อาการหนัก
ส่อว่า รุ่งริ่ง ร่อแร่
คดีที่ศาลรัฐธรรมนูญนี้ เป็นเรื่องฝ่าฝืนมาตรฐานจริยธรรม
ไม่ใช่คดีอาญาที่จะต้องพิสูจน์เจตนา และความเสียหายจากการกระทำโดยตรง
การพูด ท่าที การกระทำไม่เหมาะสมนั่นเอง คือความผิดทางจริยธรรมร้ายแรง เสื่อมเสียเกียรติภูมิของชาติ และการกระทำนั้น เกิดขึ้นสำเร็จไปแล้ว ตามคลิปเสียง
แม้คลิปเสียงนั้น จะถูกแอบบันทึก แต่ความจริง คือ มีการกระทำเช่นนั้นเกิดขึ้นจริงๆ
หากไม่ชิงลาออกจากตำแหน่งนายกฯ ก่อนที่ศาลรัฐธรรมนูญจะวินิจฉัยคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญถือเป็นที่สุด มีผลผูกพันทุกองค์กร จะต้องถูกนำไปขยายผลคดีอื่นๆ ต่อไปอย่างแน่นอน
โดยอาจถูกใช้เป็นสารตั้งต้นประกอบการดำเนินคดี ขยายผลต่อไปยังพรรคเพื่อไทย ในฐานะที่นางสาวแพทองธารเป็นหัวหน้าพรรค
อย่าลืมว่า อุ๊งอิ๊งค์มีตำแหน่งเป็นหัวหน้าพรรคเพื่อไทยด้วย (ต่างจากกรณีอดีตนายกฯเศรษฐา)
และในการปรับตำแหน่งแต่งตั้งให้อุ๊งอิ๊งค์ได้เป็นรัฐมนตรีวัฒนธรรมก่อนศาลรัฐธรรมนูญสั่งหยุดการปฏิบัติหน้าที่ในฐานะนายกฯ พรรคเพื่อไทยก็ได้เห็นชอบให้อุ๊งอิ๊งค์ตั้งตัวเองเป็นรัฐมนตรีวัฒนธรรมเพิ่มอีกตำแหน่ง นั่นก็เพื่อหลบเลี่ยงการที่หัวหน้าพรรคต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่อย่างเด็ดขาด
เพื่ออ้างว่ายังมีอีกเก้าอี้ในฐานะรัฐมนตรีวัฒนธรรม ก็เพื่อผลประโยชน์ทางการเมือง เพื่อรักษาตำแหน่งและอำนาจของหัวหน้าพรรคเพื่อไทย หรือไม่
การกระทำเช่นนี้ อาจเป็นการกระทำเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองที่ไม่เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ หรือไม่?
นอกจากนี้ ในส่วนคดีอาญา รายงานข่าวระบุว่า นายสมชาย แสวงการ อดีตสมาชิกวุฒิสภา พร้อมด้วย นายนิติธร ล้ำเหลือ หรือ ทนายนกเขา และนายคมสัน โพธิ์คงได้แจ้งความดำเนินคดีในความผิดตามกฎหมายอาญา มาตรา 119, 120, 122, 128 และ 129 ความผิดต่อความมั่นคงของรัฐภายนอกราชอาณาจักร ส่วนความผิดอื่นก็มีการไปยื่นที่ ป.ป.ช.
เรื่องไม่ได้เจตนาทำผิด ยังไม่มีผลเสียหายต่อความมั่นคงของรัฐ เอาไปสู้ในส่วนคดีอาญา
แต่คดีศาลรัฐธรรมนูญ การกระทำสำเร็จแล้ว คือ การสนทนาในคลิปเสียง
ดังนั้น หากนายกฯอุ๊งอิ๊งค์ฝืนอยู่ในตำแหน่ง แล้วถูกศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยชี้ขาด ราคาความเสี่ยง คือ อุ๊งอิ๊งค์และพรรคเพื่อไทย อาจถูกดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไปด้วย
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี