เมื่อวานวันที่ 21 สิงหาคม “แพทองธาร ชินวัตร”วัย 38 ปีเต็ม ครบรอบวันเกิดย่างปีที่39 สวมหัวใจเสือส่วนจะเสือแมวเสือปลาหรือเสืออะไรก็แล้วแต่ เดินทางไปให้การต่อตุลาการศาลรัฐธรรมนูญคดี“คลิปอัปยศ” ตามที่ศาลรัฐธรรมนูญได้นัดไต่สวน ก่อนจะวินิจฉัยตัดสินในวันที่ 29 สิงหาคมสัปดาห์หน้า
“แพทองธาร ชินวัตร”ลูกคุณหนูพ่อรวย ที่“ทักษิณ ชินวัตร”ผู้เป็นบิดาได้บันดาลดลให้ลูกสาวคนเล็กคนนี้ซึ่งวัยยังละอ่อน ขึ้นเป็นผู้นำฝ่ายบริหารในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนที่ 31ของประเทศไทย ชนิดที่พิจารณาประวัติในมุมไหนก็ไม่พบว่า มีความรู้ความสามารถและประสบการณ์พอที่จะขึ้นมาแบกรับภาระนี้ได้ ซึ่งถ้าเปรียบเป็นมะม่วงก็ต้องเรียกว่า“มะม่วงบ่มแก๊ส”
แต่อย่างว่า ด้วยระบบการเมืองที่พิกลพิการของสังคมไทย คือแทนที่จะเป็นระบอบประชาธิปไตยอย่างแท้จริง ก็กลายเป็นระบอบ“ธนาธิปไตย”ที่เงินสามารถซื้อได้ทุกอย่าง และอันที่จริงระบอบประชาธิปไตยบ้านเรานั้น ก็ไปลอกจากฝรั่งมาตั้งแต่การเปลี่ยนการปกครองในปี 2475 ซึ่งผ่านมา 93 ปี ก็วนไปวนมายังไปไม่ถึงไหน
พอเลือกตั้งเสร็จ บริหารประเทศได้ไม่เท่าไร ก็ถูกทหารยึดอำนาจด้วยข้อหาเดิมๆ คือ“คอร์รัปชันโกงกิน” แล้วก็โกงกันจริงๆ ด้วย ดังนั้นเมื่อ“ทักษิณ ชินวัตร”มีทั้งเงิน มีทั้งพรรคการเมืองเป็นของตน และมีเสียงสส.ในคอกพอที่จะยกมือโหวตให้ใครเป็นนายกรัฐมนตรีก็ได้ จึงไม่แปลกที่“แพทองธาร ชินวัตร” จะเป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศนี้ไม่ได้
หากไล่ดูประวัติ เมื่อครั้งสอบเอ็นทรานซ์เข้าเรียนที่คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในปี 2547 สมัยที่“ทักษิณ ชินวัตร”ผู้เป็นบิดาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ก็มีข่าวฉาวโฉ่เรื่อง“ข้อสอบรั่ว” และถึงแม้จะชี้ชัดลงไปไม่ได้ว่า ข้อสอบรั่วเพราะเกี่ยวข้องกับ“แพทองธาร”โดยตรง
แต่ผลจากการสอบสวน“ศ.ร.ต.อ.วรเดช จันทรศร” เลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา(กกอ.) ในขณะนั้น ที่มีหน้าที่ในการดูแลและรับผิดชอบการศึกษาระดับอุดมศึกษา ก็ได้สารภาพต่อคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง ที่ ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล เป็นประธาน ว่าเป็นคน“เปิดซองข้อสอบ”จริง ก่อนส่งให้คณะอนุกรรมการพิมพ์ข้อสอบ
นอกจาก“ศ.ร.ต.อ.วรเดช จันทรศร” จะมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับ“ทักษิณ ชินวัตร” ซึ่งต่อมาก็ยังเคยดำรงตำแหน่งอธิการบดีมหาวิทยาลัยชินวัตร ที่ดูไม่ชอบกลเกี่ยวกับการ“เปิดซองข้อสอบ”แล้ว กรณีนี้ ศ.ดร.ไชยันต์ ไชยพร อาจารย์ภาควิชาการปกครอง คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ก็ยังเคยเปิดโปงว่า เป็น“ปมปริศนาความไม่เสมอภาค และความอยุติธรรมทางการศึกษาในปี พ.ศ.2547”
โดย ศ.ดร.ไชยยันต์ ไชยพร ได้นำผลสอบเอ็นทรานซ์ของ“แพทองธาร ชินวัตร”สองครั้งมาเปรียบเทียบให้ดู คือครั้งแรกก่อนข้อสอบรั่ว กับครั้งที่สองหลังเกิดกรณีข้อสอบทั่ว ซึ่งจากคะแนนที่ต่างกันระหว่างครั้งแรกกับครั้งที่สองนี้ อาจารย์ไชยันต์ระบุไว้ใน พ.ศ.นั้นว่า “คะแนนสูงมหัศจรรย์” พร้อมทั้งได้นำคะแนนสอบทั้ง 2ครั้งมาเทียบกันให้เห็นชัดๆ..
เช่น คะแนน“ภาษาไทย” จาก 52 เพิ่มเป็น 72, “สังคม” จาก 41.26 เพิ่มเป็น 67.5,“ภาษาอังกฤษ” จาก 64 เพิ่มเป็น 84 และ“คณิตศาสตร์ 2” จาก 27 เพิ่มเป็น 63 เป็นต้น
หลังเกิดกรณีข้อสอบรั่ว ก็ทำให้“แพทองธารชินวัตร”บุตรสาวคนเล็กของนายกรัฐมนตรีที่ชื่อ“ทักษิณ ชินวัตร”ของรัฐบาลพรรคไทยรักไทยในขณะนั้น ได้เข้าเรียนในคณะรัฐศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สาขาวิชาสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา และในปี 2551 หลังจบปริญญาตรี ก็ได้ไปศึกษาต่อที่อังกฤษทางด้านการโรงแรม ในสาขาวิชา “Msc International Hotel Management” มหาวิทยาลัยเซอร์รีย์
เมื่อจบกลับมา ก็มาทำงานในบริษัทเครือชินวัตร ซึ่งเป็นบริษัทกงสีของตระกูล โดยบิดาคือ“ทักษิณ ชินวัตร” และ“คุณหญิงพจมานดามาพงศ์”มารดา ได้จัดเตรียมทุกอย่างให้บุตรสาวคนเล็กผู้เป็น“กล่องดวงใจ”ไว้พร้อมสรรพเรียบร้อยแล้ว จากที่ทั้งบิดาและมารดาเคยมีชีวิตลำเค็ญและตกต่ำ ถึงขนาดต้องวิ่งแลกเช็คมาแล้ว จนกระทั่งมีทรัพย์สินเป็นแสนล้านและพอกพูนมากขึ้นเมื่อเข้ามาเล่นการเมือง หลังการก่อตั้งพรรคไทยรักไทยในปี 2541
“แพทองธาร ชินวัตร” ผ่านการทำงานในบริษัทกงสีได้ไม่นาน “ทักษิณ ชินวัตร”ผู้เป็นบิดา ซึ่งยังหลบหนีโทษคดีทุจริตอยู่ในต่างแดน ก็จับเชิดให้เป็น“หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย”ในปี2564 ก่อนจะมาเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคเพื่อไทยในการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อปี 2566
และหลังเลือกตั้งเสร็จสิ้น พรรคเพื่อไทยได้รับเลือกตั้งเข้ามาเป็นพรรคอันดับสอง “แพทองธาร”ก็ได้ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งหัวหน้าพรรค และได้รับเลือกจากสส.ให้เป็นนายกรัฐมนตรี ในวันที่ 16 สิงหาคม 2567 ด้วยคะแนนเสียง 319 ต่อ 145เสียง โดย“พ่อจัดให้” แทนนายเศรษฐาทวีสิน ที่ถูกศาลถอดถอนออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
หนึ่งปีบนเก้าอี้นายกรัฐมนตรีของ“แพทองธาร ชินวัตร”ลูกคุณหนูพ่อรวย ที่เห็นมากกว่าผลงานที่ทำในตำแหน่ง ก็คือ แต่งตัวเฉิดฉายโดยสวมใส่เสื้อผ้าแบรนด์หรูราคาแพงจากต่างประเทศไม่ซ้ำแม้แต่วันเดียว และที่โดดเด่น นอกจากจะเป็นนายกรัฐมนตรีที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์การเมืองไทยด้วยวัยเพียงแค่ 38ปีแล้ว ก็ยังถือว่าเป็นนายกรัฐมนตรีที่ร่ำรวยที่สุด และรวยกว่า“ทักษิณ ชินวัตร”ผู้เป็นบิดาเมื่อครั้งเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 23ของประเทศนี้ โดย“แพทองธาร”ได้แจ้งบัญชีทรัพย์ต่อป.ป.ช.ว่ามีทรัพย์สินสุทธิทั้งหมด 1.39 หมื่นล้านบาท
อย่างไรก็ตาม “กิ้งกือ”ยังเดินตกท่อได้ฉันใด ด้วยสติปัญญาที่มีอยู่น้อยนิด ขาดทั้งความรู้ความสามารถและประสบการณ์ จึงทำให้พลาดท่าเสียทีแก่“ฮุนเซน”ทรราชแห่งเขมรผู้เป็นเพื่อนรักของบิดา จนนำมาสู่คดี“คลิปอัปยศ” และเมื่อวานนี้มีข่าวไม่ยืนยันว่า “แพทองธาร ชินวัตร”ถูกศาลรัฐธรรมนูญต้อนจนไปไม่เป็น จากการไต่สวนที่ใช้เวลากว่า 2ชั่วโมง และถึงกับเดินคอตกออกจากศาลรัฐธรรมนูญ โดยไม่ยอมให้สัมภาษณ์ใดๆแก่กองทัพสื่อมวลชนที่ไปรอทำข่าว
สำหรับบรรยากาศในการไต่สวนต่อหน้าบัลลังก์ศาลรัฐธรรมนูญนั้น “อาจารย์คมสัมโพธิ์คง”ที่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปฟังการพิจารณาไต่สวน ได้เปิดเผยในเฟซบุ๊กของตนเท่าที่จะเปิดเผยได้ เนื่องจากศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งห้ามเผยแพร่การพิจารณา-ว่า
“1. อุ๊งอิ๊งค์เตรียมตัวมาดี ตอบศาลในข้อเท็จจริงเกี่ยวกับคลิปและเหตุการณ์ต่างๆอย่างฉัดฉาน แต่เรื่องที่ไม่ได้เตรียม และข้อกฎหมายมีอึ้งเล็กน้อย ตอบไปตามความรู้ที่ตนมีอย่างหยุมหยิม”
“2. ข้อกฎหมายเป็นจุดอ่อนสำคัญของอุ๊งอิ๊งค์ และพยาน(นายฉัตรชัย บางชวด-เลขาฯ สมช.)มีการตอบข้อกฎหมายผิดพลาดคลาดเคลื่อนจากหลักการของกฎหมายพอสมควร ดูแล้วเสียเปรียบเรื่องข้อกฎหมายอย่างสาหัส”
“3. ต้องชมว่าทนายความอุ๊งอิ๊งค์เตรียมตัวดี แต่บางเรื่องก็ช่วยไม่ค่อยได้”
“4. ผู้ร้อง (สว.)ถามประเด็นไม่คมนัก แต่ก็ยังสะท้อนว่าทำการบ้านมาพอสมควร”
“5.มีดราม่าสะอึกสะอื้นเล็กน้อย แต่ไม่น่าส่งผลให้มีความสงสารมากนัก เพราะผมว่าสะอึกสะอื้นผิดคิวไปนิด”
“6. การไต่สวนคดีชั้น 14 ของศาลฎีกาฯฟังสนุกกว่า มันส์กว่า คมกว่า
“7. การไต่สวนครั้งนี้ ดูแล้วอาจส่งผลต่อคณะรัฐมนตรีชุดนี้ในอนาคต”เอาแค่นี้ละกันครับ ศาลรัฐะรรมนูญมีคำสั่งห้ามเผยแพร่การพิจารณาเนื่องจากจะกระทบข้อมูลเกี่ยวกับความมั่นคงของรัฐ
ทั้งนี้ ผู้สังเกตการณ์ทางการเมืองต่างเชื่อกันว่า ผลการวินิจฉัยตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญในวันที่ 29 สิงหาคมสัปดาห์หน้า “แพทองธาร ชินวัตร”ไม่น่าจะรอด ซึ่งก็ต้องรอดูว่า“แพทองธาร”จะชิงลาออกก่อนที่ศาลรัฐธรรมนูญจะวินิจฉัยหรือไม่ เพื่อจะได้ไม่มี“ประวัติติดลบ” เรื่องขาดความซื่อสัตย์สุจริต และฝ่าฝืนจริยธรรมอย่างร้ายแรง ติดตัวไปจนตาย เฉกเช่นนายเศรษฐา ทวีสิน ที่โดนมาแล้ว
เสร็จจจากลูกเมื่อวาน ที่จับยามสามตาดูแล้วว่าไม่น่าจะรอด, วันนี้ 22สิงหาคม คนในตระกูลชินวัตร และบรรดา สส.ในคอกเพื่อไทยก็ต้องลุ้น“ทักษิณ ชินวัตร”กันต่อ ว่าศาลชั้นต้นจะพิพากษาคดีความผิดมาตรา 112ออกมาอย่างไร และจากนั้นในวันที่ 9 กันยานเดือนหน้า ก็ต้องลุ้นคดี“ชั้น14”กันต่ออีก ว่าศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง จะสั่งให้“ทักษิณ”กลับเข้าไปติดคุกจริงๆ อีกรอบหรือไม่
จะอะไรก็แล้วแต่ ดังที่ภาษาพระท่านว่า “กัมมุนา วัตตติ โลโก” สัตว์โลกทั้งหลายย่อมเป็นไปตามกรรม !
รุ่งเรือง ปรีชากุล
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี