นโยบายรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย เริ่มเปิดให้ประชาชนลงทะเบียนไปแล้ว
วันแรก มีคนลงทะเบียนรับสิทธิรถไฟฟ้าทุกสายไม่เกิน 20 บาท ทั้งหมด 220,701 คน
และยังเปิดให้ลงทะเบียนต่อไปเรื่อยๆ
เดิม ประกาศว่า ประชาชนจะได้ใช้บริการจริง 1 ตุลาคมนี้
แต่ล่าสุด ดูเหมือนประชาชนจะต้องรอเก้อ... รอต่อไปอีกเสียแล้ว
1. นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม กล่าวขอโทษประชาชน แต่ยังยืนยันว่า เดินหน้าโครงการต่ออย่างแน่นอน
รมว.คมนาคม เปิดเผยว่า การดำเนินมาตรการอัตราค่ารถไฟฟ้าสูงสุดไม่เกิน 20 บาท หรือ 20 บาทตลอดสาย
ช่วงแรก ดำเนินการมาแล้วเกือบ 2 ปี ในโครงการรถไฟฟ้า 2 เส้นทาง ได้แก่ โครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง ช่วงเตาปูน - คลองบางไผ่ และโครงการรถไฟฟ้าสายสีแดง ช่วงบางซื่อ - รังสิตและช่วงบางซื่อ - ตลิ่งชัน ได้ผลตอบรับจากประชาชนเป็นอย่างดี และมั่นใจว่า ในอนาคตปริมาณผู้โดยสารจะเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน
สำหรับมาตรการค่ารถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสายที่จะดำเนินเฟสถัดไป ครอบคลุมโครงข่ายเส้นทางรถไฟฟ้าในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล จำนวน 10 สาย คือ รถไฟฟ้าสายสีเขียว, สีทอง,สีเหลือง, สีชมพู, สีน้ำเงิน, สีม่วง, สีแดง และแอร์พอร์ต เรล ลิงก์ (ARL) รวมระยะทางรวม 276.84 กิโลเมตร (กม.) ทั้งสิ้น 194 สถานี
“...ขณะนี้ กระทรวงคมนาคม ได้เร่งผลักดันพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) 2 ฉบับ เพื่อสนับสนุนมาตรการอัตราค่าโดยสารรถไฟฟ้าสูงสุด 20 บาทตลอดสาย ระยะที่ 2 ประกอบด้วย
1. ร่างพ.ร.บ.การบริหารจัดการระบบตั๋วร่วม พ.ศ. .... (พ.ร.บ.ตั๋วร่วม)
และ 2. พ.ร.บ.การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย พ.ศ.2543 (พ.ร.บ.รฟม.)
โดยขณะนี้ ร่าง พ.ร.บ.ทั้ง 2 ฉบับดังกล่าว ได้ผ่านการพิจารณาของคณะกรรมาธิการสภาผู้แทนราษฎร (กมธ.สส.) ครบทุกมาตราแล้ว และผ่านการพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎรในวาระที่ 1 โดยอยู่ระหว่างการพิจารณาในวาระที่ 2 และ 3 ก่อนเข้าสู่การพิจารณาของสมาชิกวุฒิสภา (สว.) ต่อไป
ทั้งนี้ หากดูจากกรอบระยะเวลาในตอนนี้ พบว่า การพิจารณาร่าง พ.ร.บ. ทั้ง 2 ฉบับตามขั้นตอนของกฎหมาย อาจจะไม่ทันกับกำหนดการเปิดให้บริการในวันที่ 1 ตุลาคม 2568
เนื่องจากการประกาศใช้มาตรการฯ จะต้องรอการประกาศกฎหมายลูก ซึ่งจะต้องใช้ระยะเวลาอีกประมาณ 45 วัน
คาดว่า จะสามารถประกาศใช้ได้ในวันที่ 15 พฤศจิกายน 2568
...สำหรับการประกาศใช้มาตรการค่ารถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสายนั้น จะต้องดำเนินการตามพ.ร.บ. ตั๋วร่วม คือ การจัดตั้ง “กองทุนส่งเสริมระบบตั๋วร่วม” ซึ่งจะเป็นกลไกสำคัญในการชดเชยส่วนต่างของรายได้ค่าโดยสารให้แก่ผู้ให้บริการรถไฟฟ้าต่างๆ เพื่อให้สามารถเก็บค่าโดยสารในอัตรา 20 บาทตลอดสายได้จริง จึงต้องแก้ไขกฎหมาย
ประกอบกับกระทรวงการคลัง กำหนดให้ต้องแก้ไข พ.ร.บ.รฟม. ด้วย...”
นายสุริยะ ยังระบุด้วยว่า ในระหว่างการพิจารณาร่าง พ.ร.บ. ทั้ง 2 ฉบับในขณะนี้ กระทรวงคมนาคม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้พิจารณาหาแนวทางอื่น เพื่ออำนวยความสะดวกในการเดินทางให้แก่พี่น้องประชาชน เช่น การขอรับการจัดสรรงบกลาง แต่ภายหลังการหารือร่วมกับคณะกรรมการกฤษฎีกาแล้ว ระบุว่า ไม่สามารถเสนอของบกลางได้ เนื่องจาก ไม่ใช่เหตุเร่งด่วน
รวมถึงแนวทางการเริ่มมาตรการก่อน แล้วเมื่อ พ.ร.บ.ฯ ผ่านการพิจารณาและมีผลบังคับใช้ แล้วนำมาชำระย้อนหลังนั้น คณะกรรมการกฤษฎีกา แจ้งยืนยันว่า ไม่สามารถดำเนินการได้เช่นเดียวกัน
“...ยืนยันว่า กระทรวงคมนาคม ได้พยายามดำเนินการในทุกวิธีทาง เพื่อให้ประชาชนได้ใช้บริการรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสายในทุกเส้นทางตามที่เคยกำหนด เพื่อลดภาระค่าครองชีพในการเดินทางให้พี่น้องประชาชน แต่ด้วยจะต้องรอกระบวนการทางกฎหมายตามขั้นตอนต่อไป
..สำหรับรถไฟฟ้าสายสีแดงและสายสีม่วงนั้น ยืนยันว่ายังคงใช้ราคาเดิม ซึ่งประชาชนยังคงใช้นโยบายรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสายได้อย่างต่อเนื่อง
สำหรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ ผมขอกราบขอโทษประชาชน ซึ่งภายหลังจากนี้กระทรวงฯและทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง จะทำอย่างสุดความสามารถ เพื่อให้ประชาชนได้ใช้บริการรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสายอย่างแน่นอน” – รมว.คมนาคมกล่าว
2. ล่าสุด รมว.คมนาคม นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ ระบุว่า คาดว่าจะเริ่มใช้บริการได้ กลางเดือน พ.ย.นี้
เท่ากับว่า โครงการ “รถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย” ที่เคยประกาศดีเดย์ เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2568 ครอบคลุมทั้งโครงข่ายรถไฟฟ้าทั้งบนดินและใต้ดิน ในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล
ตอนนี้ ต้องเลื่อนไปก่อน
น่าจะเป็นกลางเดือน พ.ย.
แต่นั่นหมายความว่า คดีนายกฯอุ๊งอิ๊งค์ที่ศาลรัฐธรรมนูญนัดวินิจฉัยชี้ขาด วันที่ 29 ส.ค.นี้ จะต้องรอด
รัฐบาลชุดนี้ จะต้องได้อยู่ต่อ
เพราะถ้านายกฯ ไม่รอด ครม.ก็ไปทั้งคณะ
การดำเนินการหลังจากนี้ ก็ขึ้นอยู่กับว่ารัฐบาลชุดใหม่ ภายใต้นายกฯคนใหม่ จะมีนโยบายอย่างไร และจะสานต่อโครงการนี้ หรือไม่?
3. อย่าลืมว่า อีกด้านหนึ่ง โครงการนี้ ถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่า เป็นนโยบายเพื่อเอาหน้าประชานิยม ไม่มีความยั่งยืนอะไรเลย
เพียงแค่เอาเงินแผ่นดินมาหาเสียง
ตอบสนองนโยบายหาเสียงกับคนในพื้นที่ กทม. ของพรรคเพื่อไทย
นักข่าวเคยซักถามถึงแหล่งเงินที่จะมาสนับสนุน มีความยั่งยืนแค่ไหน จะต้องของบมาอุดหนุนกันไปทุกๆ ปีอย่างนั้นหรือ?
รมว.คมนาคม นายสุริยะ เคยตอบว่า เงินทั้งหมดนี้เป็นรายได้ที่ทางการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) ส่วนหนึ่ง เมื่อประกอบการแล้วได้กำไร ก็นำเงินส่วนนั้นมาช่วยเบื้องต้นคาดว่าประมาณปีละ 8,000 ล้านบาท
นักข่าวถามว่า จะเป็นการทำงบประมาณผูกพันทุกปีหรือไม่?
นายสุริยะกล่าวว่า ในระยะยาวมีการศึกษากันอยู่ และตอนนี้ได้มีการตั้งคณะกรรมการขึ้นมาศึกษาว่าจะทำในระยะยาว จะเอาแหล่งเงินจากไหนเพื่อให้ยั่งยืน ซึ่งส่วนนี้อาจมีการศึกษาในเรื่องการเก็บภาษีรถติด ถ้าเกิดว่ารัฐบาลสามารถมีทางเลือกรถไฟฟ้าแต่ละเส้นให้สมบูรณ์แล้ว แต่ถ้าประชาชนบางส่วนยังคิดอยากจะใช้รถส่วนบุคคลอยู่ ก็มีการจะพิจารณาว่าจะเก็บภาษีส่วนนี้ได้อย่างไร ขณะเดียวกันก็จะดูประเทศต่างๆ ด้วย
สะท้อนว่า เป็นโครงการที่มุ่งจะให้ได้ชื่อว่าได้ลงมือทำแล้ว แต่ยังไม่ได้มีแนวทางรองรับที่เป็นรูปธรรมยั่งยืนในระยะยาว
4. กระทรวงคมนาคม ได้ประมาณการผลตอบแทนที่จะได้รับจากการดำเนินมาตรการฯ ในปีงบประมาณ 2569 โดยประเมินในเชิงปริมาณและมูลค่าจากจำนวนผู้ใช้บริการรถไฟฟ้าที่ได้รับประโยชน์ใน 3 ด้าน ได้แก่ ด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม
ปรากฏว่า มีสมมุติฐานในการประมาณการมูลค่าผลประโยชน์ในปีงบประมาณ 2569 รวมมูลค่า 21,812.46 ล้านบาท
แต่ในความเป็นจริง การที่ราคาค่าโดยสาร จะ 20 บาทตลอดสายได้ รัฐต้องหาเงินมาชดเชยให้ผู้ประกอบการเอกชน
เนื่องจากผู้ให้บริการรถไฟฟ้าในปัจจุบันมีรูปแบบสัญญาสัมปทานและสัญญาจ้างเดินรถที่มีข้อกำหนดหรือเงื่อนไขทางธุรกิจแตกต่างกัน
โลกนี้ ไม่มีอะไรฟรี
โครงการนี้ มีคนได้รับประโยชน์แน่นอน ก็คือประชาชนที่จะใช้สิทธิ ได้จ่ายโดยสารรถไฟฟ้าถูกลงกว่าราคาตามสัญญาสัมปทานกับเอกชน โดยมีรัฐบาลช่วยหาเงินมาจ่ายชดเชยให้
แต่ปัญหา คือ มันก็ไม่ต่างกับกับการเอาเงินมาจ่าย เอามาแจก ช่วยคนใช้รถไฟฟ้านั่นเอง
โครงการจึงได้กำหนดให้ประชาชนลงทะเบียนในช่วงนี้ก่อน ตามเงื่อนไขที่กำหนดบนแอปพลิเคชั่น “ทางรัฐ” เพื่อรองรับการใช้งานตามนโยบาย
เงื่อนไขการลงทะเบียนนั้น ยืนยันตัวบุคคลที่มีสัญชาติไทยเท่านั้น ให้ระบุเลขที่บัตรประชาชน 13 หลัก และสามารถใช้ผ่านบัตรเครดิต บัตรเดบิต และบัตรโดยสาร (Rabbit Card ที่เคยลงทะเบียนไว้) ที่จะใช้งานกับระบบรถไฟฟ้าผ่านแอปฯ “ทางรัฐ” เดิมจะเริ่มใช้บริการโครงการตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2568
ครอบคลุมทั้งโครงข่ายรถไฟฟ้าทั้งบนดินและใต้ดิน ในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ประกอบไปด้วย รถไฟฟ้าสายสีเขียว,สีทอง,สีเหลือง,สีชมพู,สีน้ำเงิน,สายสีม่วง,สายสีแดง และสายแอร์พอร์ต เรล ลิงก์ (ARL)
ทั้งนี้ การใช้บริการรูปแบบบัตร Rabbit Card (บัตรเติมเงิน) จะใช้ได้กับสายสีเขียว, สีทอง, เหลือง, ชมพู
ขณะที่บัตร EMV Contactless (หรือบัตรเครดิต Visa/Mastercard) สามารถใช้กับ 6 สาย คือ สายสีแดง, น้ำเงิน, ม่วง, ชมพู, เหลือง, ARL (ไม่รวมสีทองและสีเขียว)
ในอนาคต จะมีการเปิดระบบสแกน QR Code ในมือถือ แทนการใช้บัตร เพื่อเพิ่มความสะดวกให้กับประชาชน
5. ดร.สามารถ ราชพลสิทธิ์ เคยให้ข้อสังเกตที่แม่นยำ ถึงวันนี้ก็ปรากฏว่าถูกต้องทุกอย่าง
ระบุว่า “รัฐบาลบอกว่าเพื่อประชาชน แต่นี่อาจเป็นแค่ “ยาแก้ปวดชั่วคราว” ก่อนเลือกตั้ง
“มันจะไปได้นานแค่ไหน?” หรือ “แค่ฝันดีปีเดียวแล้วตื่นมาจ่ายแพงเหมือนเดิม?”
“1.งบประมาณที่จัดสรรยังไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง
ในปีแรกของการดำเนินนโยบาย รัฐบาลตั้งงบประมาณไว้ 5,668 ล้านบาท (ก่อนหน้านี้รัฐบาลเคยบอกว่าจะต้องใช้เงินชดเชยประมาณ 8,000 ล้านบาท/ปี) โดยแบ่งเป็นค่าชดเชยค่าโดยสารให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ประกอบด้วย ร.ฟ.ท., รฟม., กทม. รวม 5,512 ล้านบาท และค่าพัฒนาระบบบริหารจัดการรายได้กลาง 156 ล้านบาท แต่ข้อมูลจาก กทม.ระบุว่า เฉพาะในส่วนของ กทม.เพียงหน่วยงานเดียว จำเป็นต้องใช้เงินชดเชยถึง 11,059 ล้านบาท เท่ากับว่างบที่ได้รับจริง (2,525 ล้านบาท) นั้น ไม่ถึงหนึ่งในสี่ของความต้องการ
2. เจรจากับเอกชนผู้รับสัมปทานยังไม่ชัดเจน
รถไฟฟ้าหลายสายดำเนินการภายใต้สัมปทานให้เอกชน ยังไม่มีการเปิดเผยข้อมูลอย่างโปร่งใสว่า ภาครัฐได้ตกลงค่าชดเชยรายได้กับเอกชนได้ผลเป็นที่ยุติหรือไม่ แต่ผมรู้มาว่า ยังไม่ได้ข้อยุติ
3. ความยั่งยืนในระยะยาวยังไม่แน่นอน
นโยบายนี้ครอบคลุมเพียง 1 ปีเท่านั้น โดยไม่มีแผนรองรับหลังจากวันที่ 30 กันยายน 2569 หากไม่มีการจัดทำแผนการเงินที่ยั่งยืน นโยบายนี้จะกลายเป็นเพียง “มาตรการชั่วคราว” ที่อาจยุติลงทันทีเมื่อสิ้นสุดปีงบประมาณ
ยิ่งไปกว่านั้น หากรัฐบาลมีเป้าหมายที่จะ “ซื้อสัมปทานคืน” ทั้งหมดจากเอกชน ตัวเลขการลงทุนอาจสูงถึงกว่า 2 แสนล้านบาท ซึ่งต้องการการวางแผนทางการเงินอย่างรอบคอบ
4. ประชาชนทุกกลุ่มอาจไม่ได้รับประโยชน์เท่าเทียมกัน
คนส่วนใหญ่เข้าใจว่า “ทุกคน” สามารถรับสิทธิ์ใช้รถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสายได้แต่เงื่อนไขการใช้งานจริงระบุว่า ผู้ใช้ต้องมีการลงทะเบียนผ่านระบบแอปพลิเคชั่น “ทางรัฐ” หรือใช้บัตร EMV (Europay, Mastercard และ Visa) หรือ Rabbit Card เท่านั้น กลุ่มประชาชนที่ไม่มีสมาร์ทโฟนหรืออุปกรณ์ดิจิทัล เช่น ผู้สูงอายุ เด็ก และผู้มีรายได้น้อย อาจไม่สามารถเข้าถึงสิทธิ์นี้ได้โดยสะดวก
5. แหล่งรายได้ชดเชยระยะยาวยังไม่ชัดเจน
การเสนอแนวคิด “ค่าธรรมเนียมรถติด” หรือ Congestion Charge เพื่อเป็นรายได้เพิ่มเติมสำหรับชดเชยค่าโดยสารในอนาคต แต่แนวคิดนี้ยังคงอยู่ในระดับ “การศึกษา” และยังไม่มีความคืบหน้าในเชิงนโยบายหรือข้อกฎหมาย
6. ผู้ให้บริการเตรียมหารถไฟฟ้าเพิ่มไว้หรือยัง?
เมื่อค่าโดยสารถูกลง จะมีผู้โดยสารรถไฟฟ้ามากขึ้นแน่นอน แต่คำถามคือ...ผู้ให้บริการเตรียมรถไฟฟ้าเพิ่มไว้หรือยัง? ถ้าไม่ทันรับมือ แบบนี้คนได้ประโยชน์จะเป็นใครกันแน่?”
6. หวังว่า รัฐบาลชุดต่อไป จะเกิดขึ้นโดยเร็ว หลังคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญในวันที่ 29 สิงหาคมนี้
มาพร้อมกับนโยบายที่ชัดเจน เป็นรูปธรรม
ไม่ขายฝันที่ทำไม่ได้จริง และไม่ทำแบบเอาหน้า ประชานิยมหาเสียงเลือกตั้ง
ใครยังไม่ไปลงทะเบียน ก็รอหลังวันที่ 29 สิงหาคมก่อนดีกว่า
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี