บังเอิญผมเห็นโซเชียลเน็ตเวิร์คแชร์ข้อความของนักอ่านข่าวจากสถานีโทรทัศน์หลายสีที่โพสต์ข้อความพาดพิง
กรณีวัดพระธรรมกายที่ รัฐบาลใช้มาตรา 44 เปิดช่องให้กรมสอบสวนคดีพิเศษนำกำลังเข้าตรวจค้นวัดพระธรรมกายเพื่อจับกุมตัวผู้ต้องหาตามหมายจับศาลหลายหมายจับที่ยังเกากุมจีวรอังสะ สังฆาฏิ อ้างอาพาธกำมะลอ มุดรูอยู่ในวัด ไม่ยอมมอบตัวสู้คดีทั้งที่ประกาศเสมอว่าจะต่อสู้คดีตามหมายจับให้ถึงที่สุด
แต่จนแล้วจนรอดก็ทุศีลข้อ 4 เสมอมา
"มุสาวาทา เวรมณี สิกฺขาปทํ สมาทิยามิ (ข้าพเจ้าสมาทานซึ่งสิกขาบท คือ เว้นจากการพูดเท็จ คำไม่เป็นจริง และคำล่อลวง อำพรางผู้อื่น"
แค่ตอแหลว่าอาพาธก็ทุศีลมากแล้ว แต่การหลบซ่อน และพยายามบอกว่า ไม่หนีจะอยู่สู้ตามกระบวนการยุติธรรมเพื่อให้ข้อเท็จจริงปรากฏนั้น แต่กลับกลายเป็นสัมภเวสี ล่องหนเมื่อเจ้าหน้าที่ตามกระบวนการยุติธรรมสามารถเข้าไปตรวจสอบภายในได้ ยิ่งทุศีลหนักหนาขึ้น
ดังนั้น ที่ อ้อ ศศินา วิมุตานนท์ นักอ่านข่าวช่องหลายสีเขียนว่า คนบุญไม่พอ ไม่เข้าใจหรอกว่าทำไมคนถึงรักและศรัทธาในวัดพระธรรมกาย แถมท้ายว่า อคติ มีอาณุภาพร้ายกาจที่สุด
ผมยอมรับตกใจกับคำสอนสั่งของผู้ประกาศข่าวสาวรายนี้ยิ่งนัก
ผมสงสัยว่าหล่อน งมงายจนแยกแยะผิดชอบชั่วดีไม่ออกผมเลยหยิบยกพจนานุกรมมาให้ผู้ประกาศข่าวสาวผู้นี้ ได้สำนึกและใช้สมองคิดก่อนที่จะติฉินนินทาพุทธศาสนิกชนคนไทยที่อยากเห็นความยุติธรรม อยากให้กระบวนการยุติธรรม พิสูจน์ข้อเท็จจริงใครทองแท้ทองเค แต่ไม่รู้ว่าข้อมูลเหล่านี้จะเจาะกะโหลกหนาๆของนางได้หรือไม่
คำว่า ศรัทธา ตามพจนานุกรมหมายถึง ความเชื่อ ความเลื่อมใส เช่น สิ้นศรัทธา ฉันมีศรัทธาในความดีของเขา บางทีก็ใช้เข้าคู่กับคำ ประสาทะ เป็น ศรัทธาประสาทะ. ก. เชื่อ เลื่อมใส เช่น เขา ศรัทธาในการรักษาแบบแพทย์แผนโบราณ
ขณะที่อีกคำที่ใกล้เคียงกันในทางปฏิบัติคือ งมงาย หมายถึง หลงเชื่อโดยไม่มีเหตุผล หรือโดยไม่ยอมรับฟังความคิดเห็นหรือเหตุผลของผู้อื่น.
กรณศรัทธา "ความเชื่อถือ ความเลื่อมใส" คำ ศรัทธา นี้ คณะกรรมการจัดทำพจนานุกรมศัพท์ศาสนาสากล แห่งราชบัณฑิตยสถาน ได้บัญญัติมาจากคำ faith และอธิบายว่า หมายถึง "ความเชื่อ ความเลื่อมใส โดยทั่ว ๆ ไปแบ่งได้เป็น ๓ ประเภท คือ
๑. ศรัทธาโดยไม่ต้องใช้ปัญญาแสวงหาความจริง
๒. ศรัทธาโดยใช้ปัญญาแสวงหาความจริงไปพร้อม ๆ กัน
๓. ศรัทธาต่อเมื่อมีประสบการณ์ด้วยตนเองจริง ๆ แล้ว"
แต่ อ้อ เอ๋ย หล่อนรู้ไหมภิกษุสงฆ์รูปนี้ทุศีล ผิดศีล 5 โดยเฉพาะที่ว่า "มุสาวาทา เวรมณี สิกฺขาปทํ สมาทิยามิ การสมาทานซึ่งสิกขาบท คือ เว้นจากการพูดเท็จ คำไม่เป็นจริง และคำล่อลวง อำพรางผู้อื่น"
ผมไม่รู้ว่า ท่านอาพาธจริงหรือไม่ เพราะทุกอย่างที่ตรวจสอบได้คือท่านไม่กล้าออกมาพิสูจน์ความจริง ได้แต่ป่าวร้องเสแสร้งและที่แน่นอน ท่านผู้ทุศีลพยายามปลุกเร้าหลอกลวงให้พุทธศาสนิกชนผู้บริสุทธิ์ ผู้ถือศีล ผู้ละกิเกสเข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์จำนวนมากออกมาเป็นกำแพงเป็นโล่มนุษย์ปกป้องตัวท่านที่สวมใส่อังสะ สบง จีวร ไว้แนบกายเพื่อก่อทุกข์เข็ญไม่ได้แตกต่างจากนักการเมืองชั่ว ที่หลอกลวงประชาชนชนจนศาลพิพากษาจำคุก 2 ปี จะบอกว่า การมีศรัทธานั้น ความหมายตามพจนานุกรม ระบุว่าหมายถึง ความเชื่อ ความเลื่อมใส เช่น สิ้นศรัทธา ฉันมีศรัทธาในความดีของเขา บางทีก็ใช้เข้าคู่กับคำ ประสาทะ เป็น ศรัทธาประสาทะ ก. เชื่อ เลื่อมใส เช่น เขา ศรัทธาในการรักษาแบบแพทย์แผนโบราณ.
ขณะที่งมงาย แปลตามพจนานุกรมได้ว่า หลงเชื่อโดยไม่มีเหตุผล หรือโดยไม่ยอมรับฟังความคิดเห็นหรือเหตุผลของผู้อื่น และจากภาพที่เกิดขึ้นบนสื่อมวลชนทุกแขนง ย่อมพิสูจน์ทราบได้ดีว่า เกิดศรัทธาที่วัดธรรมกาย หรือเกิดความงมงายจนเกิดสัมภเวสีขึ้นมาอีกตัวหนึ่งในสังคมไทยกันแน่
ฝูงทุรชนจำนวนหนึ่งพยายามปกป้อง นายไชยบูลย์ สุทธิผล หรือ พระธัมมชโย อดีตเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย จากการจับกุมของเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติหน้าที่ตามความถูกต้องของกฏหมาย เหมือนเมื่อครั้งที่คนรากหญ้าส่วนหนึ่ง ออกมาปกป้องโจรชั่วที่กระทำย่ำยีต่อเศรษฐกิจประเทศชาติ เมื่อถูกจับได้ ก็มีผู้งมงายออกมาอ้างว่า มันคนนั้น ถูกกลั่นแกล้ง เพื่อให้ประชาชนหมดศรัทธา โดยไม่ได้กระทำผิดกฎหมาย แต่กระทำในสิ่งที่กฏหมายห้าม
แต่จะอย่างไร เสียศาลก็พิพากษาจำคุก 2 ปี ทำให้โจรชั่วปล้นชาติรายนั้น แสดงธาตุแท้ตัวตนหลบหนีไปเป็นสัมภเวสีบงการกลุ่มชนที่งมงายสร้างสถานการณ์จนเกิดความปั่นป่วน รวมทั้งวางแผนโกงชาติอย่างแนบเนียนตามสแกน "ทักษิณคิด เพื่อไทยทำ" ออกนโยบายจำนำข้าวทุกเม็ด จนเกิดความเสียหาย 5-6 แสนล้านบาท ภายใต้การดำเนินการของนังดอกไม้ ผู้เป็นน้องสาว และเป็นทายาททางการเมือง
ศรัทธาและงมงาย มีรากฐานที่ใกล้เคียงกันมาก ทว่าผลของการปฏิบัตินั้นมีผลลัพธ์ต่างกัน
ขอกระทุ้งขอสะกิดต่อมสำนึกของคนในวงการสื่อมวลชนด้วยกันสักนิดว่า ผลที่เห็นสัมภเวสีล่องลอยออกจากวัดพระธรรมกาย และสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้น เมื่อเทียบเคียงกับคำพูดที่สำรอกมาโดยตลอด เขาสร้างศรัทธาหรือฝูงชนเกิดความงมงายเองทำให้สัมภเวสีได้ใจหรือไม่
สังคมไทยไม่ได้ศรัทธากับทุรชนคนเป็นสัมภเวสี
อลัชชีที่สังฆราชาทรงเคยมีพระลิขิต 5 ฉบับให้ต้องปาราชิก
หมดจากความเป็นพระเป็นผุ้ทรงศีล
ศรัทธากว่าจะเสื่อมต้องใช้เวลานานมาก แต่ตื่นจากความงมงายนั้นใช้เวลาน้อยนิดครับ
อ้อ ศศินา ควรจูนสมอง อยู่อย่างมีสติ จะเกิดปัญญาจะเอ่ยวาจาใดก็รอบคอบไม่เช่นนั้น จะกลายเป็นการสำรอกสำรากกระนั้นไปครับ
อย่าร้อนรนจนสั่งสอนคนด้วยข้อความที่ไร้สติจนดูคล้ายคนพิเศษ พระสงห์ถ้าไม่ทุศีล เจ้าหน้าที่บ้านเมืองคงสามารถจับกุมตามหมายจับได้แล้ว ไม่ใช่กลายเป็นสัมภเวสี เป็นเปรตแบบนี้แน่นอน
และผู้ที่สมควรร่วมรับผิดชอบ ก้คือเหล่าเทวทัตพุทธมณฑล ที่ไม่พยายามสะสางเหลือบอัปรีย์จัญไรในวงการพระพุทธศาสนา
วรพจน์ แสนประเสริฐ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี