การบรรยายพิเศษของ ศาสตราจารย์ ธีรยุทธ บุญมี เรื่อง “ประชาชน พรรคการเมือง ทหารไทย ติดกับดัก ก่อวิกฤติใหม่ประเทศไทย” เมื่อวันที่ 15 ตุลาคม 2562 ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรมรำลึกครบ 46 ปี เหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 ที่อนุสรณ์สถาน 14 ตุลา สี่แยกคอกวัว ถนนราชดำเนิน เป็นการบรรยายที่มีคุณภาพ สะท้อนความจริงที่ดำรงอยู่ในสังคมอย่างห่วงใย ไม่มีอคติ ทั้งเสนอการแก้ไขที่เป็นรูปธรรมต่อสังคม และเสนอเรื่องเร่งด่วนที่พลเอกประยุทธ์ควรทำเพื่อรับมือกับปัญหาปากท้องและเศรษฐกิจรูปแบบใหม่ที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว
อาจารย์ธีรยุทธพูดถึงความจริงของคนในสังคมไทยปัจจุบันที่ระบบคิดแบบ “ความเมือง” (the political) เข้ามาแทนที่ระบบคิดแบบ “การเมือง” (the politic) ทำให้แทนที่ความคิดที่ต่างกัน จะเป็นเพียงความไม่ชอบไม่พอใจหรือโกรธชังกันระหว่างบุคคลที่สามารถหาข้อสรุปโดยเสียงส่วนใหญ่ได้ กลับเป็นการต่อสู้แบบรวมเบ็ดเสร็จ (totality war) ของกลุ่มคนซึ่งมองอีกกลุ่มในแง่เป็นพวกเรากับศัตรู (the enemy) เป็นความสัมพันธ์เชิงสงคราม (hostis, polémios) ผู้มีอำนาจตัดสินใจสูงสุดในท้ายที่สุดคือองค์อธิปัตย์ (sovereignty) ของกลุ่มซึ่งอาจเป็นผู้นำรัฐหรืออำนาจทางกฎหมายก็ได้
ด้วยเหตุนี้ พฤติกรรมทางการเมือง หรือที่อาจารย์ธีรยุทธเรียกว่า ความเมือง ของคนในสังคมไทยปัจจุบันจึงมองคนเห็นต่างอย่างศัตรู มองการกระทำของอีกฝ่ายไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ เป็นภยันตรายร้ายแรงต่อบ้านเมือง เป็นศัตรูที่จะต้องถูกทำลายลงไป ด้วยการขยายประเด็นเกินเหตุและผล ไปจนถึงการฟ้องร้องหาเรื่องดำเนินคดีความ รวมทั้งการใช้อิทธิพลกดดันกระบวนยุติธรรม บางครั้งก็ใช้มาตรการป้องกันล่วงหน้า ปักธงล่วงหน้า ก่อนอีกฝ่ายจะดำเนินการใดๆ ด้วยซ้ำ ทำให้ความขัดแย้งขยายตัวน่ากลัวขึ้นเรื่อยๆ เริ่มจากความขัดแย้งเหลือง-แดง ซึ่งเป็นเรื่อง ชนชั้นล่าง ชั้นกลางในชนบท กับชนชั้นกลาง ชั้นสูงในเมือง ต่อมาเพิ่มประเด็นความเป็น ภาคเหนือ อีสาน ใต้ ความขัดแย้งเผด็จการ-ประชาธิปไตย การเลือกตั้งหลังสุดก็เพิ่มประเด็น คนรุ่นเก่า รุ่นใหม่ ความคิดเก่า ความคิดใหม่ ชาติมหาอำนาจเองก็แสดงจุดยืนชัดเจนคือ ชาติตะวันตก หนุนฝ่ายเสื้อแดง จีนหนุนฝ่ายอนุรักษ์กับทหาร ทำให้เราได้พบเห็นนักการเมืองกลายเป็น “นักความเมือง” พรรคการเมืองกลายเป็น “พรรคความเมือง” นักวิชาการกลายเป็น “นักโฆษณาความเมือง” ทหารฝ่ายความมั่นคงเป็น “ทหารฝ่ายความเมือง”
ตอนหนึ่งของการบรรยาย อาจารย์ธีรยุทธ ยังกล่าวด้วยว่า ในขณะนี้ มีการเคลื่อนไหวกว้างขวางจากหลายฝ่ายในสังคม ทั้งฝ่ายมวลชน การใช้สื่อออนไลน์ เฟคนิวส์ สื่อทางการ นักเคลื่อนไหว นักกฎหมาย หน่วยราชการ กองทัพ กระบวนการศาล ฯลฯ ถือเป็นครั้งแรกที่เกิดขึ้น เป็นวิกฤติใหม่ที่ควรกังวลและต้องช่วยกันทำให้ทุกฝ่ายคลี่คลาย ผ่อนความขึงตึงจนเกินไปลง
คำเตือนและข้อเสนอแนะของอาจารย์ธีรยุทธ ที่เผยแพร่ออกไป ถ้าพูดตามสมัยก่อนที่ยังไม่มีสื่อออนไลน์ ก็ต้องบอกว่า “ยังไม่ทันที่หมึกพิมพ์จะแห้ง” อาจารย์ธีรยุทธก็ถูกมวลชนที่เป็นลิ่วล้อ กองหนุน กองเชียร์ นักคอมเมนท์รายวันตามสื่อออนไลน์ที่รับใช้กลุ่มความเมืองกลุ่มต่างๆ รุมกระทืบรุมยำอย่างรุนแรงและบ้าคลั่ง บ้างด่าทอด้วยถ้อยคำหยาบคายและไร้เหตุผล บ้างเย้ยหยันว่าดีแต่พูด ไม่เห็นทำอะไร บ้างท้าทายให้ไปตั้งพรรคการเมือง ดูซิว่าจะมีใครเลือก ลามปามไปถึงบุคคลอื่นที่อยู่ในมหาวิทยาลัยเดียวกับที่อาจารย์ธีรยุทธทำงานอยู่ ทั้งที่การบรรยายครั้งนี้อาจารย์ธีรยุทธมิได้มุ่งโจมตีรัฐบาลโดยเฉพาะเจาะจง อย่างที่เคยกระทำในสมัยที่นายทักษิณเป็นรัฐบาล
อาจารย์ธีรยุทธ์ บุญมี นั้น มาจากครอบครัวทหารชั้นผู้น้อย เป็นคนรักการอ่าน เรียนหนังสือเก่ง เป็นนักเรียนโรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย สอบได้ที่ 1 ของประเทศในระดับมัธยมศึกษา แผนกวิทยาศาสตร์ ปีการศึกษา 2511 สมัยเรียนที่คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย อาจารย์ธีรยุทธ ทำกิจกรรมนิสิต เป็นเลขาธิการศูนย์กลางนิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย ปี พ.ศ. 2515 มีบทบาทในการเคลื่อนไหวเพื่อสังคมหลายครั้ง เช่น การรณรงค์ให้ชื้อสินค้าไทยและไม่ซื้อสินค้าจากประเทศญี่ปุ่น เนื่องจากเวลานั้นประเทศไทยขาดดุลการค้ากับญี่ปุ่นเป็นจำนวนมาก และยังรณรงค์เรื่องการล่าสัตว์ป่าของกลุ่มนายทหารและตำรวจในทุ่งใหญ่นเรศวร เป็นต้น ใน “เหตุการณ์ 14 ตุลา” อาจารย์ธีรยุทธเป็นหนึ่งในสมาชิกก่อตั้งของกลุ่มเรียกร้องรัฐธรรมนูญจำนวน 100 คน มีวัตถุประสงค์เพื่อขอรัฐธรรมนูญคืนจากรัฐบาลเผด็จการที่นำโดยจอมพลถนอม กิตติขจร และเป็น 1 ใน 11 คนที่ถูกตำรวจสันติบาลจับกุม ตรวจค้นบ้านและยึดเอกสารใบปลิวขณะเดินแจกเอกสารเรียกร้องรัฐธรรมนูญ ระหว่าง “เหตุการณ์ 14 ตุลา 2516” อาจารย์ธีรยุทธก็เป็นหนึ่งในแกนนำนักเรียนนิสิตนักศึกษาและประชาชนที่เข้าไปเจรจากับรัฐบาลจอมพลถนอม กิตติขจร และร่วมนำการเคลื่อนไหวจนสามารถขับไล่ระบอบเผด็จการทหาร นำประชาธิปไตยคืนสู่สังคมไทยได้แม้จะในระยะเวลาสั้นๆ ก็ตาม
คนอย่างนี้หรือ ที่นักวิจารณ์ “ความเมือง”รายวันตามสื่อออนไลน์ ทั้งหลาย กล่าวหาว่า ดีแต่พูด ไม่ทำอะไร ?
นี่ยังไม่ได้พูดถึงความจริงที่ว่า หลัง “เหตุการณ์ 6 ตุลา 2519” อาจารย์ธีรยุทธอยู่ที่ไหน และทำอะไรบ้าง !
คนเรา เมื่ออยู่ในตำแหน่งหน้าที่อะไร ก็ทำบทบาทหน้าที่ในขอบเขตอำนาจและความรับผิดชอบของตนเองให้เต็มที่ ครบถ้วน ถูกต้อง สมบูรณ์ และบริสุทธิ์ใจ เพื่อประโยชน์แก่ประเทศชาติและประชาชน ก็นับว่าถูกต้องและเหมาะสม ถูกควรแก่กาละและเทศะ
จะบริภาษนักวิชาการ อาจารย์มหาวิทยาลัย แบบอาจารย์ธีรยุทธว่า ดีแต่พูด ไม่ทำอะไร ก็ดูจะแปลกประหลาดเอาการ จะให้พวกเขาไปบริหารราชการแผ่นดินเหมือนนักความเมืองและทหารความเมืองได้อย่างไรเล่า เพราะเขาไม่มีอำนาจหน้าที่ การที่เขาใช้วิชาความรู้ออกมาให้สติแก่สังคมในฐานะนักวิชาการครูบาอาจารย์เช่นนี้ ย่อมเป็นเรื่องดี และดีกว่านักวิชาการที่คอยประจบสอพลอผู้มีอำนาจ หรือดีกว่านักวิชาการที่เงียบงัน หรือที่เอาเวลาราชการไปหารายได้พิเศษเข้ากระเป๋าตนเองมากนัก
อาจารย์ธีรยุทธบรรยายในวันที่ 15 ตุลาคม แสดงความห่วงใยที่สังคมแบ่งฝักแบ่งฝ่าย มอง “เพื่อนร่วมชาติ” ที่เห็นต่างเป็น “ศัตรูของชาติ” ที่ต้องล้มล้างทำลาย โดยเฉพาะเมื่อทหารเอาค่านิยมของทหารในเรื่องความจงรักภักดีต่อสถาบัน ชาติ-ศาสน์-กษัตริย์ ที่ถูกท้าทายโดยคนส่วนน้อยที่แทบไม่มีพลังที่เป็นนัยยะสำคัญมาเป็นปัญหาหลักและเร่งด่วนของประเทศ แทนที่ปัญหาปากท้องและความเหลื่อมล้ำที่กระทบชีวิตประชาชนส่วนใหญ่โดยตรง ทำให้อาจารย์ธีรยุทธอดห่วงไม่ได้ว่าเป็นการแก้ปัญหาหลัก หรือที่อาจารย์ธีรยุทธใช้คำว่า “ปัญหาใจกลาง” ไม่ตรงจุด และจะยิ่งนำไปสู่ปัญหาใหม่ที่ร้ายแรงยิ่งขึ้น
เห็นได้ว่า การบรรยายของอาจารย์ธีรยุทธวันนั้น ให้เกียรติทหารบางกลุ่มบางคนเป็นอย่างยิ่ง ไม่มีการเอ่ยชื่อ ไม่มีการประณาม ทั้งที่เวลานั้น ผู้บัญชาการทหารบก พลเอกอภิรัชต์ คงสมพงษ์ กำลังถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักภายหลังการบรรยายพิเศษของท่าน ในหัวข้อเรื่อง “แผ่นดินของเรา ในมุมมองด้านความมั่นคง” เมื่อวันที่ 11 ตุลาคม ณ กองบัญชาการกองทัพบก
จะไม่ให้ถูกวิพากษ์วิจารณ์ได้อย่างไรครับ เพราะตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบก แม้เทียบอาวุโสในกระทรวงกลาโหม จะต่ำกว่าปลัดกระทรวง แต่ก็ไม่ต่ำกว่าอธิบดีกรม ทั้งยังเป็นกรมที่กุมกำลังพล กุมปืน และกุมรถถังอีกด้วย เมื่อออกมาแต่งเครื่องแบบทหารประกาศกร้าวกับฝ่ายการเมืองขนาดนั้น จะไม่ให้คนเขาเป็นห่วงได้อย่างไร
และจะไม่ให้เป็นห่วงได้อย่างไร เมื่อผู้บัญชาการทหารบกท่านนี้ ตั้งคำถามระหว่างการบรรยายว่า “ปัญหาเรื่องความมั่นคง ท่านจะให้ใครแก้ นักวิชาการ หรืออาจารย์บางคนที่คบคิดกับพวกคอมมิวนิสต์เดิม เป็น master mind เป็นคลังสมอง ร่วมกับนักเรียนนอกซ้ายจัดดัดจริต ที่ไปเรียนจากประเทศที่เคยล่าอาณานิคม อบรมสั่งสอนแบบไร้จรรยาบรรณ ชอบอ้างเลข 2475 เป็นตัวชี้นำ ชอบอ้างว่าตนเป็นนักประชาธิปไตย แต่มีวาทกรรมจาบจ้วง”
และจะไม่ให้เป็นห่วงได้อย่างไร เมื่อผู้บัญชาการทหารบกท่านนี้ คือ คนที่ชี้นิ้วไปยังฝ่ายตรงข้ามว่าเป็นพวก “หนักแผ่นดิน” ทั้งยังปลุกระดมทั้งคนในกองทัพบกและคนในสังคมให้กลับไปฟัง “เพลงหนักแผ่นดิน”
ผมเข้าใจความรู้สึกของ พลเอกอภิรัชต์ คงสมพงษ์ และเห็นด้วยกับท่านที่กล่าวย้ำตอนหนึ่งระหว่างการบรรยายว่า “เห็นต่างได้ แต่ต้องไม่ล้มสถาบัน แบ่งแยกดินแดน”
และถ้าเข้าใจไม่ผิด พลเอกอภิรัชต์ คงกังวลกับพฤติกรรมของพรรคการเมืองหนึ่งที่เป็นขวัญใจของคนรุ่นใหม่
แต่สำหรับผมแล้ว ไม่เคยกังวลกับพรรคนี้เลย พรรคที่ไม่เคยตำหนิวิจารณ์กลุ่มการเมืองเก่าที่คอร์รัปชันโกงกินประเทศชาติอย่างมโหฬาร แล้วขนญาติพี่น้องหนีคุกหนีตะราง ปล่อยให้ลูกน้องที่รับใช้ตนเข้าไปนอนในคุกคนแล้วคนเล่า ถ้าคนไทยส่วนใหญ่ยังจะชื่นชมเลือกขึ้นมานำพาประเทศชาติ ก็ให้มันรู้กันไป !
ว่าที่จริงแล้ว คนที่คิดล้มสถาบัน แบ่งแยกดินแดน ถึงมีก็คงน้อยมาก และแทบไม่มีพลังอะไรอย่างที่อาจารย์ธีรยุทธว่า ยกเว้นการเคลื่อนไหวในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้
การที่ พลเอกอภิรัชต์ ในฐานะผู้บัญชาการทหารบก ออกมาให้ความสำคัญกับพรรคนี้ ทั้งขยายวงความขัดแย้งออกไปโจมตีคอมมิวนิสต์ อดีตคอมมิวนิสต์เก่า รวมไปถึง 2475 ดูจะเสียมากกว่าได้ เป็นการผลักไสมิตรให้เป็นศัตรู ทั้งจะทำให้คนรุ่นหลังเข้าใจประวัติศาสตร์ของชาติอย่างบิดเบือน
ประการแรก การเกิดขึ้นของขบวนการคอมมิวนิสต์ในประเทศไทยนั้น มาจากการเคลื่อนไหวกู้ชาติของคนเวียดเกียวกับคนจีนที่อพยพลี้ภัยเข้ามาอยู่ในประเทศไทย ตั้งแต่ราวทศวรรษ 2470 ขบวนการคอมมิวนิสต์และพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยจะไม่สามารถอยู่ได้และขยายตัวต่อไปได้ ถ้าไม่มีการกดขี่ข่มเหงของเจ้าหน้าที่รัฐทั้งในเครื่องแบบและนอกเครื่องแบบ ก่อนวันแตกเสียงปืนในปี พ.ศ. 2508 คนไทยในภาคอีสาน คนไทยภูเขาในภาคเหนือ ที่ยากจนค่นแค้นถูกเจ้าหน้าที่รัฐปฏิบัติอย่างไร คงกลับไปค้นคว้าหาอ่านกันได้ไม่ยาก คนไทยภาคใต้ที่ไม่ค่อยมีปัญหาความยากจนเหมือนภาคอีสานกับภาคเหนือ ก็ยังถูกข่มเหงรังแกจนต้องกลายเป็นคอมมิวนิสต์ ถูกถีบลงเขา เผาลงถังแดง
คอมมิวนิสต์นั้น ความจริงแล้วก็คือคนไทยด้วยกัน พวกเขาไม่ได้ขายชาติ แต่เป็นผลิตผลของการปกครองแบบกดขี่และไม่เป็นธรรมของอำนาจรัฐ ที่คือต้นตอปัญหาที่ควรพูดถึง มากกว่าจะมาตัดตอนพูดเฉพาะเวลาถูกกองกำลังของคอมมิวนิสต์โจมตี เรื่องที่ทหารไม่อยากเล่า แต่กลับไปชื่นชมจีนก็คือ การขยายอิทธิพลของเวียดนามเข้ามาในไทย มีการบิดเบือนยกความดีความชอบให้จีน ว่าทำสงครามสั่งสอนเวียดนามในปี พ.ศ. 2522 เพื่อช่วยเหลือไทยไม่ให้เวียดนามบุกเข้ามายึด ทั้งที่ความจริงจีนทำสงครามครั้งนั้นเพื่อสกัดกั้นอิทธิพลของโซเวียตและตอบโต้เวียดนามที่บุกยึดกัมพูชา ขับไล่เขมรแดงที่จีนหนุนหลังอยู่ในปี พ.ศ. 2521 และสาเหตุที่เวียดนามไม่สามารถยกกองทหารเข้ามายึดภาคอีสานของไทยได้ ก็เนื่องจากพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยปฏิเสธข้อเสนอของเวียดนามที่จะยกกองทหารเข้ามาช่วยพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยปลดปล่อยดินแดนที่อยู่ส่วนหัวขวานของประเทศ คือภาคอีสานกับภาคเหนือ ด้วยไม่ต้องการให้ต่างชาติเข้ามาแทรกแซงการปฏิวัติเหมือนที่กระทำในกัมพูชา การปฏิเสธความช่วยเหลือครั้งนั้น เป็นเหตุให้เวียดนาม ลาว ตัดความช่วยเหลือทั้งหมดแก่พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย ขับไล่ชาวคอมมิวนิสต์ไทยทั้งหมดออกจากชายแดนลาว “นายผี” หรือ อัศนี พลจันทร ผู้นำคนหนึ่งของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยที่อยู่ในดินแดนลาวเวลานั้น ถูกจับไปฆ่า เพราะปฏิเสธไม่ยอมเป็นหุ่นเชิดให้กับเวียดนาม เหมือนเฮงสัมรินในกัมพูชา ความจริงทั้งหมดนี้ ทหารรู้ดี ทำไมไม่พูด ?
ประการต่อมา อดีตคอมมิวนิสต์ทั้งหลาย รวมทั้งอดีตคนเข้าป่า ที่มีชื่อเสียงหลายคน ก็กระจายไปอยู่พรรคการเมืองทั้งฝ่ายค้านและฝ่ายรัฐบาล คอมมิวนิสต์เก่าที่พอจะเป็น master mind ได้ ก็ล้มหายตายจากไปหมดแล้ว ที่ยังพอมีชีวิตอยู่ ก็ชราภาพและไม่แข็งแรง บางคนนุ่งขาวห่มขาวเป็นอุบาสกอุบาสิกาเดินสายวัดไปแล้วก็มี ที่จะมีอิทธิพลทางความคิดกับคนอย่างธนาธรหรือปิยบุตรก็คงจะยาก การปลุกผีคอมมิวนิสต์ขึ้นมาให้เกิดความหวาดกลัวแก่คนที่ไม่ได้รับรู้ความจริงทั้งหมด จึงเป็นอันตราย และน่าเป็นห่วงที่คนไทยจะถูกปลุกระดมให้กลับมาฆ่ากันเองอีก ภายหลังจากที่พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ พยายามใช้นโยบาย การเมืองนำการทหาร ดึงพวกเขามาเป็น ผู้ร่วมพัฒนาชาติไทย ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2523
ประการสุดท้าย การเปลี่ยนแปลงการปกครองในปี 2475 เป็นวิวัฒนาการทางประวัติ และเป็นวิวัฒนาการของสังคมทุกประเทศในโลก ปัญหาคือ จะรักษาสถาบันพระมหากษัตริย์ให้เป็นที่เคารพรักและเป็นศูนย์รวมจิตใจของคนในชาติได้อย่างไร วิธีหนึ่งที่พสกนิกรไทยจะต้องทำคือ ไม่ดึงสถาบันพระมหากษัตริย์ลงมาเกลือกกลั้วกับความขัดแย้งทางการเมือง จะขัดแย้งกันอย่างไร จะทำอะไรกันอย่างไร ก็ควรยกท่านไว้เบื้องบน อย่าจาบจ้วง และก็อย่าดึงสถาบันลงมาเป็นเครื่องมือรับใช้ผลประโยชน์ของตนโดยอ้างว่าเพื่อปกป้องสถาบัน นอกจากนี้ การพูดถึง 2475 อย่างไม่เป็นธรรม ก็ควรคำนึงถึงจิตใจลูกหลานของคนในคณะราษฎรที่เขาอยู่ของเขาอย่างเงียบๆ ไม่เคยก่อปัญหาให้ใคร ทั้งที่ถ้าไม่มี 2475 ก็ไม่มีวันนี้ที่มาโหวกเหวกกันได้ในรัฐสภา
ในภาวะที่สถานการณ์ทางการเมืองวันนี้ สังคมแบ่งฝักแบ่งฝ่าย มอง “เพื่อนร่วมชาติ” ที่เห็นต่างเป็น “ศัตรูของชาติ” ที่ต้องล้มล้างทำลาย เพราะภารกิจของ ค.ส.ช. ที่บอกว่าจะสร้างความปรองดอง กระทำไม่สำเร็จแม้จะอยู่ในอำนาจมาถึง 5 ปี
หน้าที่ที่ควรช่วยกันทำวันนี้ ถ้ายังไม่สามารถสร้างความปรองดองได้ ก็ไม่ควรขยายความขัดแย้ง อย่าเอาคนเพียงกลุ่มเล็กๆ กลุ่มหนึ่ง มาขยายวงออกไปถึงคนกลุ่มอื่นๆ ที่เขาอยู่อย่างสงบ ไม่เป็นพิษเป็นภัย และอย่าปลุกปั่นยุยง ให้เกิดความเกลียดชังของคนในชาติ ไม่ว่าจะเป็นการออกมาบรรยายปลุกระดม หรือ การปล่อยให้นักคอมเมนท์ความเมืองรายวันตามสื่อออนไลน์ทั้งหลายออกมาโพสต์ให้เกิดความเกลียดชังโดยมีแต่อารมณ์ แต่ขาดเหตุผลและข้อเท็จจริง
สุดท้าย อยากฝากถึงใครทุกคน ที่ชอบกล่าวหาคนอื่นว่า “หนักแผ่นดิน” หรือชอบแนะนำคนอื่นให้กลับไปเปิด “เพลงหนักแผ่นดิน” ฟัง ว่า พวกท่านลืมไปแล้วหรือว่า เพลงนี้แต่งขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2518 โดยนายทหารบก ยศพันเอกคนหนึ่ง และเปิดออกอากาศเพื่อปลุกระดมมวลชนทางสถานีวิทยุกระจายเสียงหลายสถานีของกองทัพบก ก่อนเกิดเหตุการณ์สังหารหมู่อย่างโหดร้ายทารุณที่สุดเป็นประวัติการณ์ที่กระทำต่อนักเรียนนิสิตนักศึกษาและประชาชนใน “เหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519” ด้วยข้อกล่าวหาที่กุกันขึ้นมาว่านักศึกษาเป็นคอมมิวนิสต์ นักศึกษาหมิ่นสถาบัน ในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์มีอุโมงลับลอดใต้แม่น้ำเจ้าพระยาเพื่อขนอาวุธไว้ส้องสุมก่อการร้าย เป็นเหตุให้นักเรียนนิสิตนักศึกษาและประชาชนที่ลอดจากการสังหารหมู่ ต้องหนีตายเข้าป่าไปอยู่กับพรรคคอมมิวสิต์แห่งประเทศไทย บ้างลี้ภัยไปอยู่ต่างประเทศ
จะสร้างความปรองดอง หรือจะปลุกระดม ให้ “6 ตุลา” กลับมาอีก ?
ณรงค์ฤทธิ์ ศรีรัตโนภาส
18 ตุลาคม 2562
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี