เมื่อปีที่แล้ว ผมเคยเขียนถึงการต่อสู้เรียกร้องความศักดิ์สิทธิ์แห่งกฎหมายของประยูร จรรยาวงษ์ ราชาการ์ตูนไทย เจ้าของรางวัลชนะเลิศการประกวดเขียนภาพการ์ตูนของโลก ที่สหรัฐอเมริกา ในปี พ.ศ. 2503 และรางวัลแมกไซไซสาขาวารสารศาสตร์ วรรณกรรม และศิลปะการสื่อสารเชิงสร้างสรรค์ ในปี พ.ศ. 2514
ประยูร จรรยาวงษ์เรียกร้องความศักดิ์สิทธิ์แห่งกฎหมายด้วยการเขียนการ์ตูนเป็นรูปชายชราหนวดเครายาวจรดพื้นแบกป้ายไม้ที่มีตัวอักษรเขียนไว้ว่า “กฎหมายชราภาพ สารภาพลดครึ่งราคา” เพื่อสื่อถึงการคัดค้านของเขาต่อวิธีการพิจารณาและพิพากษาคดีอาญาในกระบวนการยุติธรรมเขาแบกป้ายคัดค้านนี้อยู่จนวันสุดท้ายของชีวิต จวบจนวันนี้ วันที่เขาจากไปใกล้จะสามสิบปีในปีหน้า กฎหมายยังคงชราภาพ สารภาพยังได้ลดครึ่งราคา ความศักดิ์สิทธิ์ของกฎหมายไทยไม่ค่อยมีใครยอมรับ จนมีคำกล่าวว่า“ประเทศไทยนั้นอะไรก็กลายเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ได้ มีอยู่อย่างเดียวที่ไม่ศักดิ์สิทธิ์คือกฎหมาย”
การที่กฎหมายไม่ศักดิ์สิทธิ์ ไม่ควรไปโทษที่ปลายเหตุว่าเป็นเพราะประชาชนไม่เคารพกฎหมาย แต่ควรดูที่ต้นเหตุมากกว่า
ต้นเหตุที่ว่านี้คือ (1) ตัวบทกฎหมายเอง และ (2) การบังคับใช้กฎหมาย
ถ้าตัวบทกฎหมายเองมีปัญหา กฎหมายย่อมจะไม่ศักดิ์สิทธิ์ ไม่มีใครเชื่อถือ ไม่มีใครยอมรับ
แต่ถ้าการบังคับใช้กฎหมายมีปัญหา ต่อให้ตัวบทกฎหมายร่างมาดีแล้ว ผลที่ออกมาคือ ความศักดิ์สิทธ์แห่งกฎหมายไม่เกิดขึ้น การบังคับใช้กฎหมายไม่เป็นไปตามเจตนารมณ์ในการร่างกฎหมาย
การฝ่าฝืนกฎจราจรของผู้ขับขี่รถ จนเกิดการทะเลาะวิวาทกันบนท้องถนนกระทั่งบานปลายไปจนถึงการฆ่ากันตายก็ดี การขับขี่รถอย่างคึกคะนองและไร้วินัยจนเป็นเหตุให้มีผู้สูญเสียชีวิตก็ดี รวมไปถึงรถจักรยานยนต์ที่ไฟท้ายดับแล้วยังวิ่งอยู่บนท้องถนนทุกค่ำคืนก็ดี ล้วนเป็นเพราะความชราภาพของตัวบทกฎหมายที่กำหนดบทลงโทษทางอาญาที่เบาบางต่อผู้กระทำความผิด ทำให้ผู้กระทำความผิดไม่เกรงกลัว และที่สำคัญเป็นเพราะการบังคับใช้กฎหมายของเจ้าพนักงานจราจรที่หย่อนยาน สันทัดเพียงการใช้กล้องวงจรปิดตรวจจับความเร็วรถเพื่อเขียนใบสั่ง แต่ไม่สันทัดในการออกมาปฏิบัติหน้าที่ดูแลความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนนอย่างสม่ำเสมอและจริงจัง ภาพการขับขี่รถอย่างคึกคะนองและไร้วินัย เบียดซ้ายป่ายขวา ภาพรถปล่อยควันดำเต็มท้องถนน รวมทั้งภาพรถจักรยานยนต์ที่ไฟท้ายดับแล้ววิ่งเพ่นพ่านอยู่บนถนนยามค่ำคืน จึงเกิดขึ้นจนกลายเป็นภาวะจำยอมที่ผู้ใช้รถใช้ถนนจำต้องยอมรับและอยู่กับมัน
การฆ่าคนตายโดยเจตนาทั้งที่วางแผนและไม่วางแผน ทั้งที่เคยก่อเหตุฆ่าคนตายมาแล้วไม่รู้กี่ครั้ง บางรายเกือบ 10ครั้งแล้วก็มี แต่หากสารภาพก็มีเหตุบรรเทาโทษติดคุกไม่นานก็กลับออกมาฆ่าคนต่อได้อีก เพราะประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 บัญญัติไว้ว่า
“เมื่อปรากฏว่ามีเหตุบรรเทาโทษ ไม่ว่าจะได้มีการเพิ่มหรือการลดโทษตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายนี้หรือกฎหมายอื่นแล้วหรือไม่ ถ้าศาลเห็นสมควรจะลดโทษไม่เกินกึ่งหนึ่งของโทษที่จะลงแก่ผู้กระทำความผิดนั้นก็ได้
“เหตุบรรเทาโทษนั้น ได้แก่ผู้กระทำความผิดเป็นผู้โฉดเขลาเบาปัญญาตกอยู่ในความทุกข์อย่างสาหัส มีคุณความดีมาแต่ก่อน รู้สึกความผิดและพยายามบรรเทาผลร้ายแห่งความผิดนั้น ลุแก่โทษต่อเจ้าพนักงานหรือให้ความรู้แก่ศาลอันเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา หรือเหตุอื่นที่ศาลเห็นว่ามีลักษณะทำนองเดียวกัน”
ฆาตกรข่มขืนแล้วฆ่า ฆาตกรฆ่าต่อเนื่อง ที่ปฏิบัติต่อเหยื่อรายแล้วรายเล่า ราวกับผักกับปลา ราวกับเหยื่อไม่ใช่มนุษย์นั้น ไม่ใช่ผู้โฉดเขลาเบาปัญญาแต่โฉดชั่วเจ้าปัญญา ไม่ได้ตกอยู่ในความทุกข์อย่างสาหัส หรือมีคุณความดีมาแต่ก่อน ทั้งไม่ได้รู้สึกความผิดและพยายามบรรเทาผลร้ายแห่งความผิดนั้น ฆาตกรพวกนี้เพียงแต่ลุแก่โทษต่อเจ้าพนักงาน เช่นยินยอมให้จับกุมและมอบของกลางหรือให้ความรู้แก่ศาลอันเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา เช่น รับสารภาพก่อนสืบพยาน ฆาตกรเหล่านี้ส่วนใหญ่มักได้อานิสงส์จากมาตรา 78 ได้รับการบรรเทาโทษ แม้จะต้องคดีฆ่าคนตาย เข้า ๆ ออก ๆ คุกมาแล้วหลายต่อหลายครั้ง ในอดีตมีน้อยรายนักที่ถูกมองว่าเป็นคดีร้ายแรงและไม่ได้รับการบรรเทาโทษ
เหตุนี้ กฎหมายจึงยังคงชราภาพ สารภาพยังได้ลดครึ่งราคา เพราะ “จำเลยให้การสารภาพ เป็นประโยชน์แก่การพิจารณาคดี” !
แต่ ผู้เสียชีวิต หรือผู้เสียหาย หรือญาติพี่น้องของเขา รวมทั้งพลเมืองดีที่ต้องมีชีวิตต่อไปในสังคมร่วมกับฆาตรกรเหล่านั้นเล่า พวกเขาได้ประโยชน์อันใด ?
ผมไม่ใช่คนโลกสวย และไม่ใช่นักสิทธิมนุษยชนที่สนใจแต่สิทธิความเป็นมนุษย์ของคนร้าย แต่ไม่สนใจสิทธิความเป็นมนุษย์ของคนตาย
ถ้าคุณเจตนาฆ่าคน และไม่มีเหตุผลอันสมควรแก่การกระทำของคุณ คุณสมควรจะได้รับการลดหย่อนผ่อนโทษหรือ ?
ถ้าตัวบทกฎหมายและการบังคับใช้กฎหมายเป็นเช่นนี้ ความศักดิ์สิทธิ์แห่งกฎหมายจะเกิดขึ้นได้อย่างไร และจะเรียกร้องให้ใครเคารพกฎหมาย
หันมาดูเหตุการณ์ทางการเมืองในปัจจุบัน การปล่อยให้มีการชุมนุมรายวัน ก่อการจราจลกลางเมืองทุกวัน โดยไม่สามารถแก้ไขปัญหา ปล่อยให้ตำรวจชั้นผู้น้อยออกไปเผชิญหน้าและเสี่ยงภัยกับกลุ่มผู้ชุมนุมทุกวันปล่อยให้ประชาชนที่ต้องใช้เส้นทาง ใช้สถานที่อยู่อาศัยและที่ทำมาหากินต้องเดือดร้อนวันแล้ววันเล่า ทั้งที่มีกฎหมายหลายฉบับประกาศใช้อยู่ เป็นอีกตัวอย่างของความไม่ศักดิ์สิทธิ์ของการบังคับใช้กฎหมาย
ที่พูดเช่นนี้มิได้หมายความว่าจะสนับสนุนฝ่ายรัฐบาล บอกให้ชัด ๆ ตรงนี้เลยว่า ไม่ได้เป็นแฟนคลับของฝ่ายไหนทั้งสิ้น ใครทำดีก็สนับสนุน ใครทำไม่ดีก็คัดค้านแต่ที่ต้องพูดก็เพื่อชี้ให้เห็นว่า ถ้ากฎหมายไม่ศักดิ์สิทธิ์ การบังคับใช้กฎหมายไม่มีประสิทธิภาพ สังคมก็อยู่ไม่ได้ รัฐที่บังคับใช้กฎหมายไม่ได้ วันหนึ่งก็เป็นรัฐที่ล้มเหลว สังคมก็จะอยู่กันอย่างอนาธิปไตย แม้โชคดีขับไล่รัฐบาลออกไปได้ เพราะเกิดความแตกแยกกันเองในฝ่ายรัฐบาลและในหมู่ชนชั้นปกครอง ประชาชนก็ใช่ว่าจะสุขสบาย
เพราะการชุมนุมที่ต้องการล้มรัฐบาล ต้องการเห็นการเปลี่ยนแปลงในสังคม แต่ไม่สนใจความเดือดร้อนของประชาชน จะเป็นตัวแทนของประชาชนได้อย่างไร
ในอดีต พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย ต่อสู้ขับไล่ชนชั้นปกครองเผด็จการมาอย่างทรหดและยาวนาน มีทฤษฎีชี้นำมีการจัดตั้ง มีกองทัพ มีแนวร่วมกว้างใหญ่ไพศาล ด้ายสักเส้น เข็มสักเล่ม ก็ไม่เอาของประชาชน ไม่เคยทำให้ประชาชนเดือดร้อนแต่เมื่อเกิดวิกฤติศรัทธาในขบวนการคอมมิวนิสต์สากล การต่อสู้ปฏิวัติยังพ่ายแพ้ การต่อสู้แบบทุกวันนี้ ที่ห่างไกลกับอุดมการณ์และวิธีการในอดีตมาก ยังมองไม่เห็นว่าจะชนะ และจะเป็นตัวแทนผลประโยชน์ของประชาชนได้อย่างไร นอกจากสร้างความวุ่นวายรายวันที่ไม่จบไม่สิ้น บั่นทอนบ้านเมืองกันไปวัน ๆ และเดินเข้าคุกกันไปทีละคนสองคน
ถ้าอยากต่อสู้ในเมือง ก็ต้องต่อสู้ตามกฎหมาย ถ้ากฎหมายไม่เป็นธรรม ก็ต้องต่อสู้ให้มีการเปลี่ยนแปลงกฎหมาย และต้องไม่เอาต่างชาติเข้ามา
เรานั้นแม้ไม่สนับสนุนให้รัฐบาลทำร้ายประชาชน แต่ก็ไม่สนับสนุนให้ใครทำลายความศักดิ์สิทธิ์แห่งกฎหมาย
ณรงค์ฤทธิ์ ศรีรัตโนภาส
30 สิงหาคม 2564
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี