ล่วงสู่ศักราชใหม่มาไม่กี่วันนี้เอง สมญานามที่สื่อได้รับปีนี้เป็นปีแรก (ทั้งที่ สื่อ เป็นผู้ตั้งให้คนในวงการอื่นๆเขาทุกปี ) ยังวนเวียนอยู่ในความรู้สึกของผมตลอดเวลา ทั้งที่บรรดาท่านที่ประกอบวิชาชีพสื่ออยู่ในเวลานี้ต่างก็เงียบงันเหมือนเป็นการยอมรับกลายๆ
ที่ผมรู้สึกก็เพราะครึ่งค่อนชีวิตของผมนั้นทำมาหาเลี้ยงชีพด้วยการเป็นสื่อมาตลอด ได้เห็นยุคสมัยที่ค่อนข้างรุ่งเรืองบ้าง ตกต่ำบ้าง แต่ก็ยังไม่เคยเห็นที่ถูกสังคมเย้ยหยันขนาดนี้ ผมนึกถึงคนหนังสือพิมพ์รุ่นเก่า ที่ล่วงลับไปแล้วไม่ว่าจะเป็น กุหลาบ สายประดิษฐ์ ,อิศรา อมันตกุล ,ชาญ สินศุข , ทองเติม เสมรสุต , ทวี เกตะวันดี , ประเวทย์ บูรณะกิจฯลฯ จะรู้สึกอย่างไร หากท่านเหล่านี้ยังอยู่
ไม่ว่าจะอย่างไร ยุคสมัยก็เปลี่ยนไปแล้ว ไม่เฉพาะแต่ ไม่มีบุคคลที่เป็นแบบอย่างในวงการหนังสือพิมพ์หรือในวงการสื่อสารที่ทำงานด้วยการอุทิศตนให้เห็นเป็นแบบอย่าง หนึ่งในด้านความซื่อสัตย์สุจริตต่อวิชาชีพ โดยที่ไม่ได้มุ่งแสวงหาความร่ำรวยจากหน้าที่การงานที่ทำ ไม่แสวงหาอำนาจ เช่นหวังจะเอาความเป็นสื่อ ไปแสวงหาอำนาจทางการเมือง สองในด้านความสามารถ ไม่ว่าจะเป็นงานข่าว งานเขียน สารคดี เรื่องสั้น นวนิยาย บทละคร บทภาพยนต์
(รายได้หลักจากเป็นนักข่าว หัวหน้าข่าว ไม่พอ ก็ใช้เวลาว่างจากงานประจำ เขียนงานอย่างอื่น เป็นรายได้เพิ่ม) เพื่อเลี้ยงตัวเองและครอบครัวให้อยู่อย่างมีศักดิ์ศรี มีเกียรติยศ และตรงนี้ก็มีส่วนทำให้คุณภาพของหนังสือพิมพ์ คุณภาพของข่าว แตกต่างไปจากยุคสมัยนี้ ตรงที่เนื้อหาสาระของข่าวที่คนรุ่นนั้นทำ แม้ท่านเหล่านั้นจะไม่ได้ผ่านสำนักการศึกษาวิชาวารสารศาสตร์ หรือนิเทศน์ศาสตร์ ภาษาข่าวของท่านเหล่านั้นดีเยี่ยม ถูกต้องตามหลักไวยากรณ์
เพราะแต่ละท่านเป็นนักเขียน และเป็นนักอ่าน
ผมไม่แน่ใจนักว่านักข่าวทุกวันนี้อ่านข่าว อ่านหนังสือพิมพ์ หรืออ่านหนังสือวรรณกรรมบ้างหรือไม่ ผมอ่านข่าวที่เขาเขียนกันแล้ว ไม่เป็นภาษาไทยกันเลย
นี่นอกจากเป็นความผิดของนักข่าวแล้ว หัวหน้าข่าว บรรณาธิการ ก็ต้องรับผิดชอบด้วย
อย่าว่าแต่อ่านข่าวหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งแล้วไปอ่านอีกฉบับหนึ่งก็ไม่ต่างกัน เพราะสำเนาเดียวกัน (ฉบับหนึ่งได้ข่าวมาแล้ว ก็แจกเพื่อนนักข่าวฉบับอื่น เผื่อว่าวันข้างหน้าก็จะได้รับแจกบ้าง) ยุคก่อนนี้ทำไม่ได้เลย หัวหน้าข่าว บรรณาธิการข่าวเอาตาย
มาถึงตรงนี้ก็สรุปได้อีกว่า หัวหน้าข่าว บรรณาธิการข่าว ทุกวันนี้อาจจะไม่อ่านหนังสือพิมพ์ฉบับอื่นเลยก็ได้ หรืออ่านก็อ่านน้อยหรือปล่อยปละละเลย เพราะได้เป็นหัวหน้าข่าว หรือบรรณาธิการ เพราะอยู่มานาน สมัยเป็นนักข่าวก็ชุ่ยมาก่อนแล้ว
นักข่าว นักหนังสือพิมพ์ รุ่นก่อนนี้หารายได้ด้วยความสามารถในความรู้ด้านภาษาไทย มิใช่หารายได้เพิ่มแฝงมาจากงานประจำ เช่นไปโฆษณาประชาสัมพันธ์ให้กับนักการเมือง พรรคการเมือง หรือนักธุรกิจ
หรือแสวงหาความร่ำรวยด้วยการทุจริตเวลา หรือค่าโฆษณา !
วันเวลาเปลี่ยนไปแม้กระทั่งว่า ทุกวันนี้จะหาร้านขายหนังสือพิมพ์สักฉบับก็ยังยาก หนังสือพิมพ์ก็ต้องปรับตัวด้วยการเสนอข่าวทางโซเซี่ยลมีเดีย หรือไม่ก็ต้องมีโทรทัศน์เสนอข่าวของตัวเอง
เพราะผู้คนอ่านหนังสือพิมพ์น้อยลง ข่าวจากโซเซี่ยลมีเดียรวดเร็วกว่า แม้จะเป็นข่าวที่ไม่ใช่ภาษาข่าว จริงหรือไม่จริง ก็ไม่ทราบ ไม่ผ่านการตรวจสอบ แต่กับยุคสมัยที่ไม่ได้ให้ความสำคัญกับความละเมียดละไม ไม่สนใจกับจริยธรรม เช่น มันจะโกงบ้างก็ช่างมันไม่ได้โกงเรา มันโกงหรือเปล่าก็ไม่รู้ แต่นโยบายมันแบ่งให้เราฯลฯ
ทุกอย่างก็เลยผ่านมา และผ่านไปชนิดที่ถ้า ยอดธง ทับทิวไม้ (นักเขียน นักหนังสือพิมพ์) ยังอยู่ ท่านก็คงจะครางออกมาว่า
“ชุ่ย เพียบพูนด้วยเล่ห์ โง่ และแสนทราม”
เรื่องสื่อหนังสือพิมพ์ เห็นจะยังไม่จบ
สำเริง คำพะอุ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี