อิทธิพลทุนนิยมที่พัฒนาไป ทำให้นักการเมืองและคนทำสื่อในยุคนี้ ต่างจากนักการเมืองและคนทำสื่อในยุคก่อน ๆ (อย่างน้อยก็ตั้งแต่ 40 ปีที่แล้วย้อนลงไป) อย่างมีนัยสำคัญ
การเมืองและนักการเมืองยุคนั้นถูกครอบงำโดยอิทธิพลทางการทหารมากกว่าการเงินในยุคก่อนปี พ.ศ. 2500 และยุคก่อนเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 ระบอบเผด็จการทหารครอบงำการเมืองไทยมายาวนานหลายสิบปี สลับด้วยการเมืองในระบอบเลือกตั้งในระยะเวลาสั้น ๆ ที่ควบคุมโดยทหาร หลังเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 การเมืองถูกครอบงำโดยอิทธิพลทางการทหารอย่างชัดเจนอีกครั้ง
ชัดเจนจนถึงขั้นมีการรัฐประหารซ้ำเพื่อเปลี่ยนตัวหุ่นเชิดทางการเมืองที่ทำงานไม่ได้ดั่งใจ
ชัดเจนจนถึงขั้นมีประกาศิตได้ว่า ถ้า “สุไม่เอาก็ให้เต้”หลังทำรัฐประหารอีกครั้งในปี พ.ศ.2534
และเมื่อ “สุ” เอา ก็นำมาสู่เหตุการณ์พฤษภาทมิฬ 2535ที่ไม่เอา “สุ”
หลังจากนั้นอิทธิพลทหารดูจะแผ่วลงไประดับหนึ่ง การเมืองไทยเหมือนจะเดินบนถนนประชาธิปไตยมั่นคงขึ้น กระทั่งเมื่อทักษิณตั้งพรรคไทยรักไทยในปี พ.ศ. 2541 เป็นต้นมา การเมืองไทยจึงถูกครอบงำโดยอำนาจทุนอย่างแน่นหนาและยาวนานมาจนทุกวันนี้
แม้ระหว่างนั้นจะมีการก่อรัฐประหารกับกลุ่มทุนทักษิณถึง 2 ครั้ง แต่คณะรัฐประหาร โดยเฉพาะกลุ่มทหารที่อยู่ในอำนาจปัจจุบัน ดูจะเกรงอกเกรงใจกลุ่มทุนทั้งหลายไม่น้อย บางคนถึงกับจะกลับไปจับมือกับกลุ่มทุนทักษิณที่ตนล้มมา
ในอดีต ขณะที่อิทธิพลทหารครอบงำการเมืองอย่างชัดเจน นักการเมืองและคนทำสื่อเวลานั้นมีจำนวนไม่น้อยที่ไม่ยอมก้มหัวให้อำนาจเผด็จการทหาร ในยุคเผด็จการของจอมพล ป กบฏสันติภาพ คือร่องรอยการต่อสู้หนึ่งของคนทำสื่อ ในยุคเผด็จการสามทรราชย์ การต่อสู้ของนักการเมืองฝ่ายสังคมนิยม รวมทั้งกรณีการจับกุม 3 ส.ส. ของพรรคประชาธิปัตย์ที่คัดค้านการรัฐประหารตัวเองของจอมพลถนอม ในปี พ.ศ. 2514 ก็เป็นตัวอย่างการต่อสู้ของนักการเมืองที่ยืนหยัดในสิ่งที่ถูก
ในสมัยนั้น คนทำสื่อเขาคิดทุกวันว่าจะนำเสนอข่าวอะไร จะไปเจาะประเด็นไหนที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชน ไม่ใช่ทำข่าวไปตามกระแส เขาวางตัวและรักษาระยะที่เหมาะสมกับผู้มีอำนาจ ไม่มีหรอกที่จะยอมให้ผู้มีอำนาจผรุสวาทหรือปล่อยอารมณ์ใส่ ส่วนนักการเมืองดี ๆ ก็อดทนกัดฟัน ไม่มีเงินก็ไม่ขายตัว ไม่ย้ายพรรค บางคนราษฎรในพื้นที่ถึงกับช่วยกันเรี่ยไรเงินให้ ส.ส. ของตนกลับมาใช้ขณะทำงานการเมืองอยู่ในกรุงเทพฯ ก็ยังมี
ในสมัยนั้น นักการเมืองดี ๆ และคนทำสื่อดี ๆ อยู่ในฐานะที่สังคมยกย่องและฝากความหวัง มีศักดิ์ศรี และไม่ปรากฏเป็นข่าวด่างพร้อย
ต่างจากสมัยนี้ โดยเฉพาะเมื่ออำนาจทุน อำนาจเงินเข้ามาครอบงำการเมือง ทั้งนักการเมืองและสื่อ ดูเหมือนจะสยบให้กับอำนาจเงินตรา นักการเมืองในพรรคนอมินีทั้งหลายทั้งปวงของทักษิณคือตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุด ตั้งแต่พรรคไทยรักไทยเมื่อ 20 กว่าปีที่แล้ว เรื่อยมาจนถึงพรรคเพื่อไทยในปัจจุบัน
ถ้าปฏิเสธว่าไม่จริง ก็อยากถามว่าทำไมเด็กเมื่อวานซืนที่พ่อมันรวย เงินมันหนา และกำลังกลายเป็นตัวตลกไม่ต่างกับอาของมัน ถึงก้าวเข้ามามีอิทธิพลเหนือหัวบรรดานักการเมืองทั้งอาวุโสและไม่อาวุโสในพรรคนั้นได้ ?
ส่วนคนทำสื่อเล่า ถ้านักการเมืองไม่ดี ผู้มีอำนาจไม่ดี แต่คนทำสื่อดี สถาบันสื่อเข้มแข็ง ประชาชนก็ยังมีความหวัง บ้านเมืองก็พอจะอยู่รอด
แต่ถ้าตรงกันข้าม พื้นที่ข่าวในแต่ละวัน ติดตามแต่ข่าวการวางแผนแก่งแย่งเพื่อชิงความได้เปรียบในการเลือกตั้ง การโจมตีกันไปมาระหว่างนักการเมืองเลวด้วยกัน รวมทั้งข่าวที่เป็นกระแสดราม่า โดยไม่สนใจประเด็นข่าวที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชน ต่อบ้านเมือง ยอมทำข่าว เสนอข่าวไปตามที่อำนาจเงินสั่งการดังเช่นที่คนทำสื่อจำนวนไม่น้อยในปัจจุบันทำอยู่
อนาคตประเทศชาติก็น่าเป็นห่วง !
ณรงค์ฤทธิ์ ศรีรัตโนภาส
๑๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๖
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี