ประเทศไทยของเรามีอะไรดี ๆ มากมาย ไม่ว่าจะเป็น ธรรมชาติ วัฒนธรรม ประเพณี งานสร้างสรรค์ นวัตกรรม และความสามารถในด้านต่าง ๆ ของคนไทย
แต่สิ่งที่ประเทศไทยย่ำแย่ และเป็นสาเหตุสำคัญที่คอยฉุดรั้งความเจริญก้าวหน้า และความน่าอยู่อาศัยของประเทศคือ การเมืองในประเทศไทย
91 ปีที่ประเทศเราสถาปนาระบอบประชาธิปไตย ลดพระราชอำนาจในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ มาเป็นพระราชอำนาจในระบอบราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ หรือที่ปัจจุบันเรียกว่า “ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข”
ประชาชนไม่เคยมีอธิปไตยอย่างแท้จริงเหมือนชื่อระบอบการปกครองที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญของประเทศเลย !
“อํานาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทย” ที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญทุกฉบับ ไม่เคยมีอยู่จริง !
ที่ผ่านมา อำนาจอธิปไตย ไม่ตกเป็นของพวกอนุรักษ์นิยม ก็เป็นของพวกขุนศึก ไม่เป็นของพวกขุนศึก ก็เป็นของพวกนายทุนที่กุมอำนาจรัฐหรือนายทุนขุนนาง หรือไม่ก็เป็นสมบัติร่วมกันของสามพวกนี้ที่ต้องหันมาสมคบกันและร่วมมือกันชั่วคราวในยามที่ฝ่ายประชาชนเริ่มมีปากมีเสียง หรือในยามที่มีใครสักคนพยายามทำอะไรเพื่อประชาชนอย่างแท้จริง ซึ่งมีผลกระทบต่ออำนาจอิทธิพลในการปกครองประเทศของเหล่าผู้ทรงอำนาจทั้งสามพวกนี้
หลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 ไม่นาน นายปรีดี พนมยงค์ ผู้ยกร่าง “เค้าโครงเศรษฐกิจ” ที่มุ่งหวังให้รัฐบาลมีหน้าที่ประกัน “ความสุขสมบูรณ์ของราษฎร” ถูกกล่าวหาว่าเป็นคอมมิวนิสต์ ทั้งที่เนื้อหาในเค้าโครงเศรษฐกิจฉบับนั้น ห่างไกลจากความเป็นคอมมิวนิสต์มาก จะเป็นได้อย่างมากก็แค่สังคมนิยมที่มีกลิ่นอายของทุนนิยมเสรี ดังที่นายปรีดีเองเคยอธิบายไว้ว่า “โปลิซีของข้าพเจ้านั้น เดินแบบโซเชียลลิสม์ ผสมลิเบรัล” แต่กระนั้นบรรดาชนชั้นนำขั้วอนุรักษ์นิยมกับขุนศึกปีกขวาในคณะราษฎรเวลานั้น ต่างผนึกกำลังกันออกมาต่อต้านคัดค้านคนที่คิดจะทำอะไรให้ประชาชน จนนายปรีดีต้องลี้ภัยไปอยู่ต่างประเทศ
จากนั้นฝ่ายอนุรักษ์นิยมกับฝ่ายขุนศึกที่เริ่มสร้างฐานทุนของตนขึ้นมาจากการกุมอำนาจรัฐต่างต่อสู้ช่วงชิงกัน กระทั่งถึงยุคจอมพล ป. เรืองอำนาจ อิทธิพลฝ่ายขุนศึกก็กุมอำนาจแทบจะเบ็ดเสร็จเด็ดขาดทั้งในทางการเมืองการทหารและทางเศรษฐกิจ
อิทธิพลอนุรักษ์นิยมมาเริ่มฟื้นคืนพลังอีกครั้งในยุคจอมพลสฤษดิ์ ขุนศึกที่เอียงไปทางฝ่ายอนุรักษ์ และรับใช้อเมริกาปราบปรามคอมมิวนิสต์และประชาชนหัวก้าวหน้าอย่างรุนแรง ครั้นมาถึงยุคสามทรราชย์ แม้ความสัมพันธ์ระหว่างฝ่ายอนุรักษ์นิยมกับฝ่ายขุนศึกจะไม่แนบแน่นเหมือนสมัยจอมพลสฤษดิ์ แต่พันธกิจที่ร่วมกันคือการเข่นฆ่าปราบปรามประชาชนฝ่ายก้าวหน้า โดยใช้ พรบ.ป้องกันและปราบปรามการกระทำอันเป็นคอมมิวนิสต์ เป็นใบเบิกทางมาจนถึงยุค 6 ตุลา 2519 ที่เป็นข่าวโด่งดังไปทั่วโลก
ปัจจุบัน จากการเกิดขึ้นของ ระบอบทักษิณ ซึ่งเป็นผลิตผลของทุนนิยมผูกขาดที่อาศัยอำนาจรัฐมาพัฒนาทุนของตน ทำให้การเมืองมีการผูกขาดเกิดขึ้นอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
การซื้อตัวนักการเมืองเปลี่ยนเป็นการซื้อพรรคการเมืองทั้งพรรคมาเป็นของตน การใช้อิทธิพลแทรกแซงกลไกรัฐบางแห่งหรือบางครั้ง เปลี่ยนมาเป็นการทำให้กลไกรัฐทุกแห่งเป็นกลไกของตน และพร้อมจะรับใช้ผลประโยชน์ของตนทุกครั้ง
เมื่อทักษิณหมดอำนาจ มรดกบาปเหล่านี้ก็ตกมาเป็นของฝ่ายอนุรักษ์นิยม และฝ่ายขุนศึกที่ยึดอำนาจและปกครองประเทศต่อจากกลุ่มทักษิณ
กลไกรัฐทุกวันนี้ จึงพิกลพิการ และพร้อมจะรับใช้ผู้มีอำนาจที่แต่งตั้งอุปถัมภ์ตนขึ้นมา โดยไม่คำนึงถึงเกียรติยศศักดิ์ศรี และมิพักต้องสนใจว่าประชาชนจะมองอย่างไร รู้สึกอย่างไร
เมื่อมีดีลลับ รับเงินรับทองกันมาแล้ว และรับปากจะช่วยให้มันไม่ต้องติดคุก ก็ต้องใช้กลไกรัฐที่เกี่ยวข้องของตน มาทำให้มันออกจากคุกให้ได้
แต่เชื่อเถอะ ถึงที่สุดแล้ว ทักษิณก็ต้องกลับเข้าคุก !
เพราะนอกจากประชาชนจะไม่มีวันยอมแล้ว ฝ่ายอนุรักษ์นิยมกับฝ่ายขุนศึกปีกที่ไฟเขียวให้นายเศรษฐาเป็นนายกรัฐมนตรี ย่อมพอใจที่จะใช้สถานกรณ์นี้มากำจัดศัตรูอีกปีกหนึ่งของตนลงไป เรื่องรับเงินแล้วต้องทำตามที่รับปากไว้ ไม่ต้องคิด เพราะสัจจะไม่เคยมีในหมู่โจร ทักษิณเองก็น่าจะรู้ เพราะที่ผ่านมาตนเองก็เคยทำกับพี่น้องเสื้อแดงมาแล้วเป็นประจำ
ยังเหลือที่ขัดหูขัดตาอยู่ ก็แต่ฝ่ายขุนศึกชรา ที่เคยไปเกาะขอบโต๊ะทักษิณตอนมีอำนาจเท่านั้น คนแบบนี้พวกอนุรักษ์เขาไม่ปลื้ม เพราะไม่จงรักภักดีกับเขาจริง
ณรงค์ฤทธิ์ ศรีรัตโนภาส
๓๐ สิงหาคม ๒๕๖๖
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี