โลกนี้เต็มไปด้วยปริศนามากมาย หนึ่งในปริศนาเหล่านี้คือคำถามที่ว่าโลกใบนี้มีเพียงเผ่าพันธุ์มนุษย์เท่านั้นหรือที่ครองโลก เพราะเมื่ออ่านวรรณกรรมพื้นถิ่นทั่วโลก พบว่ายังมีสิ่งมีชีวิตจำพวกหนึ่งอยู่ร่วมกับมนุษย์มาตลอด เผ่าพันธุ์นั้นคือยักษ์นั่นเอง น่าแปลกว่าแต่ละประเทศล้วนมีตำนานเกี่ยวกับยักษ์ทั้งสิ้น ทำให้สงสัยว่าสมัยดึกดำบรรพ์อาจมียักษ์อยู่บนโลกนี้ แต่สูญพันธุ์ไปแล้ว
นักโบราณคดีชื่อเอียน ลอตันศึกษาวิจัยพระคัมภีร์ไบเบิล เชื่อว่าในอดีตมีมนุษย์เผ่าพันธุ์หนึ่งรูปร่างใหญ่โตเหมือนยักษ์เรียกว่าเน็ฟฟิลิมหรือ Nephilim มนุษย์เผ่าพันธุ์นี้ปกครองโลกในยุคก่อนน้ำท่วมโลก เอียนอธิบายว่ามนุษย์เผ่าพันธุ์เน็ฟฟิลิมถูกเอ่ยถึงครั้งแรกในบทที่หกของหนังสือเจนีสิสในพระคัมภีร์เก่า The Old Testament ในพระคัมภีร์ของชาวฮีบรูก็บันทึกถึงมนุษย์กลุ่มนี้
หลักฐานทางโบราณคดีหลายชิ้นระบุว่ามนุษย์โบราณทั่วไปรูปร่างใหญ่โตกว่าคนในปัจจุบันนี้ ทุกครั้งที่เห็นโครงกระดูกมนุษย์ยุคก่อนประวัติศาสตร์อดสงสัยไม่ได้ว่า เหตุใดโครงกระดูกและเครื่องประดับทั้งหลายจึงมีขนาดใหญ่กว่าคนปกติหลายเท่า ไม่ว่าจะเป็นกำไลหรือแหวนที่พบในหลุมศพก่อนประวัติศาสตร์
นิทานแต่ละประเทศปรากฎเรื่องราวของยักษ์ ไล่มาจากเหนือยุโรปก่อน มีตำนานของยักษ์เย็นเยือก (Frost Giant) ตามตำนานแถบสแกนดิเนเวีย ยักษ์เหล่านี้อาศัยอยู่ในดินแดนอันเต็มไปด้วยม่านหมอก แม้จะเป็นยักษ์เฉลียวฉลาด แต่ดุร้ายและสร้างความวุ่นวายแก่ชาวโลก จนหมู่เทวดาต้องปราบ
นอกจากนี้ในแถบสแกนดิเนเวียมีการบันทึกถึงสิ่งมีชีวิตร่างใหญ่นิสัยดุร้ายที่เรียกว่า “โทรล” ซึ่งเป็นอมนุษย์รูปร่างสูงใหญ่สูงราว 12 ฟุต น้ำหนักหลายพันกิโลกรัม โทรลเป็นยักษ์ร้ายที่มีถิ่นอาศัยต่างกัน 3 เผ่า คือ โทรลภูเขา โทรลป่า โทรลแม่น้ำหรือทะเล มีนิสัยกักขฬะและโง่เขลา
ในตำนานเทพปกรณัมของกรีกกล่าวถึงยักษ์ตาเดียวชื่อ “ไซคลอปส์” ถือเป็นอสูรที่มีเชื้อสายมาจากเทพ ไซคลอปส์แบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม พวกแรกกำเนิดจากเทพอูรานอสแห่งท้องฟ้ากับเทพไกอาแห่งผืนดิน ส่วนอีกพวกเป็นไซคลอปส์ที่กำเนิดจากเทพโพไซดอนเจ้าแห่งมหาสมุทรกับโทซาซึ่งเป็นพรายน้ำ ยักษ์ประเภทนี้ขึ้นชื่อเรื่องความดุร้าย มักจับมนุษย์และสัตว์กินเป็นอาหารเสมอ
ตำนานเกี่ยวกับยักษ์ทางฝั่งตะวันออกปรากฎในเรื่องเล่าเก่าแก่ของจีน ญี่ปุ่น และอินเดีย เริ่มต้นที่จีน มีตำนานเรื่องผานกู่ซึ่งเป็นยักษ์มีขนดกเต็มตัวและมีเขา ผานกู่เริ่มต้นสร้างโลกโดยแยกหยินและหยางออกโดยการจามด้วยขวานยักษ์ หยินกลายเป็นโลกและหยางกลายเป็นท้องฟ้า
ที่ญี่ปุ่นมีตำนานยักษ์โอะนิ มีที่มาจากความเชื่อของลัทธิชินโต โอะนิร่างสูงใหญ่ บ้างมีสามตา มีเขา มีเล็บและเขี้ยว เรือนร่างแดงหรือส้ม นุ่งห่มด้วยหนังเสือและมีกระบองหนาม สามารถเหาะเหินเดินอากาศได้
ความเชื่อเกี่ยวกับเรื่องยักษ์ในความเชื่อทางศาสนาพราหมณ์และพุทธระบุว่า ยักษ์มีหลายระดับขึ้นกับบุญบารมี ยักษ์ชั้นสูงมีรูปร่างสวยงาม มีเครื่องประดับ มีรัศมี มีอาหารทิพย์ มีบริวารคอยรับใช้ ปกติไม่เห็นเขี้ยว เวลาโกรธเขี้ยวถึงงอกออกมา ยักษ์ชั้นกลางเป็นบริวารคอยรับใช้ของยักษ์ชั้นสูง ส่วนยักษ์ชั้นต่ำรูปร่างน่าเกลียด ผมหยิก ตัวดำ ตาโปน ผิวหยาบ มีนิสัยดุร้าย
มาดูทางฝั่งอเมริกาใต้บ้าง บันทึกจากปูมเรือแมกเจลแลนบันทึกว่า ในเดือนมิถุนายนปีพ.ศ. 2063 กองเรือสำรวจทวีปแมกแจลแลนแล่นเรือใบเข้าสู่ฝั่งอาร์เจนติน่า ปรากฏร่างชนเผ่าตัวโตยืนอยู่ริมหาด คนเหล่านี้เป็นพวกคนป่าที่สูงใหญ่มาก ถ้าวัดเทียบขนาดกับพวกเรา พวกเราคงสูงแต่เอวของมนุษย์พวกนั้น (พวกลูกเรือแมกแจลแลนมีความสูงเฉลี่ย 5 ฟุต ถึง 6 ฟุต) ลูกเรือจับพวกคนป่าร่างยักษ์ไว้ได้สองคน ล่ามโซ่ตรวนนำกลับมากับเรือด้วย หวังว่าจะนำกลับไปยุโรป แต่คนป่าร่างยักษ์ทั้งสองไม่ยอมกินข้าวกินน้ำ เสียชีวิตคาโซ่ตรวนขณะเดินทางกลับ จึงต้องโยนศพทิ้งทะเลไป
บันทึกของชาร์ลส์ ดาร์วิน บิดาแห่งทฤษฎีวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิต นักเดินทางสำรวจธรรมชาติ นักสัตว์ศาสตร์ และนักมนุษย์วิทยาในสมัยคริสต์ศตวรรษที่ 19 จดบันทึกส่วนตัวมีใจความตอนหนึ่งว่า ขณะที่เดินทางไปสำรวจดินแดนแถว ๆ แหลมเกรกอรี (Cape Gregory) เจอชนเผ่าร่างมหึมา
"พวกนี้มีความสูงใหญ่มากกว่าชาวยุโรปทั้งหมดเฉลี่ยไม่ต่ำกว่า 8 ฟุต และมีบางคนสูงถึง 12 ฟุต ผู้หญิงก็มีความสูงในสัดส่วนพอ ๆ กับผู้ชาย นับว่าเป็นชนเผ่าพันธุ์มนุษย์ที่มีรูปร่างสูงใหญ่มากที่สุดเท่าที่เคยพบเห็นมาในชีวิต"
ในปี พ.ศ. 2512 นักโบราณคดีชาวอิตาเลียนขุดพบสุสานประหลาด ซึ่งมีโครงกระดูกอยู่ 50 โครง บรรจุรวมกันอยู่ในโลงศพใหญ่ที่ทำด้วยดินเผา ไม่มีลวดลายแกะสลัก หรือเขียนคำจารึกใด ๆ ไว้ให้เห็นเลย ขุดพบอยู่ในบริเวณตำบล Terracina อยู่ห่างจากกรุงโรมไปทางใต้ประมาณ 60 ไมล์ ดร.ลุยจิ คาวาลลูซซิ นักโบราณคดีได้ตรวจสอบโดยละเอียดแล้วลงความเห็นไว้ในบันทึกทางโบราณคดีว่า
"โครงกระดูกทั้ง 50 โครง มีความสูงไม่ต่ำกว่า 7 ฟุต โครงสูงสุดวัดจากหัวกระโหลกถึงปลายเท้า สูงถึง 9 ฟุต 8 นิ้ว ทั้งหมดตายเมื่ออายุ 35 -40 ปี ยังมีฟันที่อยู่ในสภาพสมบูรณ์เกือบทั้งหมด พวกนี้อาจเป็นพวกนักรบป่าโบราณที่ถูกทหารโรมันเกณฑ์มาเป็นทาส ถูกฆ่าตายด้วยเหตุผลบางประการ แต่ที่น่าแปลกคือไม่พบเครื่องแต่งกายหรืออาวุธยุทโธปกรณ์ใด ๆ ในบริเวณหลุมฝังศพนั้นเลย..."
นักโบราณคดีและนักมนุษยศาสตร์พยายามค้นหาหลักฐานสนับสนุนว่า เคยมีมนุษย์ร่างยักษ์อยู่ในโลกนี้จริง ปรากฏว่าค้นพบหลักฐานมากมาย โดยเฉพาะที่รัฐแอริโซนา สหรัฐอเมริกา ขุดค้นพบโลงศพขนาดยาว บรรจุศพขนาด 12 ฟุต โครงกระดูกผุกร่อนเป็นผงหมดแล้ว
ส่วนอีกรายขุดค้นพบที่รัฐแคลิฟอร์เนีย พบโครงกระดูกมนุษย์สูงถึง 12 ฟุต พร้อมฟัน 2 แถว พบเปลือกหอยรูปทรงแปลกๆ ขวานหินที่ใช้เป็นอาวุธ และเศษอาหาร ประกอบด้วยอาหารทะเล และเนื้อช้างแมมมอธที่สูญพันธุ์ไปจากโลกหลายล้านปีแล้ว นอกจากนี้ยังมีหลักฐานทั้งเอกสารบันทึกและโครงกระดูกขนาดใหญ่เกินกว่าจะเป็นโครงกระดูกของคนปกติที่นั่นที่นี่ทั่วโลก จนทำให้อดตั้งคำถามไม่ได้ว่าหรือเคยมียักษ์อาศัยอยู่บนโลกใบนี้
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี