วันศุกร์ ที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2568
แนวหน้า
  • แนวหน้า
  • หน้าแรก
  • คอลัมน์
    • คอลัมน์วันนี้
    • คอลัมน์ออนไลน์
    • คอลัมน์การเมือง
    • คอลัมน์ลงมือสู้โกง
    • โลกธุรกิจ
    • ผู้หญิง
    • บันเทิง
    • Like สาระ
    • ดูทั้งหมด
  • ข่าวเด่น
  • พระราชสำนัก
  • การเมือง
  • โลกธุรกิจ
  • อาชญากรรม
  • กทม.
  • ในประเทศ
  • เกษตร
  • ต่างประเทศ
  • กีฬา
  • ผู้หญิง
  • บันเทิง
  • ยานยนต์
  • Like สาระ
หน้าแรก / ผู้หญิง
บทความพิเศษ : ‘รู้เขา รู้เขมร’ แผนที่ต้นปัญหา : ชนวนความขัดแย้งไทย-กัมพูชา

บทความพิเศษ : ‘รู้เขา รู้เขมร’ แผนที่ต้นปัญหา : ชนวนความขัดแย้งไทย-กัมพูชา

วันจันทร์ ที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2568, 06.00 น.
Tag : ชนวนความขัดแย้ง ไทย-กัมพูชา บทความพิเศษ แผนที่ต้นปัญหา รู้เขา รู้เขมร
  •  

ประเทศไทยและกัมพูชามีประวัติศาสตร์ความสัมพันธ์อันยาวนาน ทั้งด้านวัฒนธรรม เศรษฐกิจ และสังคม แต่ในขณะเดียวกันก็เต็มไปด้วยความขัดแย้ง โดยมี "แผนที่" เป็นหนึ่งในชนวนที่จุดประกายปัญหามาต่อเนื่อง โดยเฉพาะแผนที่มาตราส่วน 1:200,000 และ 1:50,000 ที่แสดงเส้นแบ่งเขตแดนไม่ตรงกัน  ซึ่งนำไปสู่ความตึงเครียดและข้อพิพาทหลายครั้ง

แผนที่ระวาง ดงรัก (Dangrek) มาตราส่วน 1:200,000 ที่สยามจัดทำร่วมกับฝรั่งเศส (ที่มา: ICJ/National Library of Australia)


https://isranews.org/article/isranews-scoop/139483-isranews-THHHHH.html

https://prachatai.com/journal/2013/05/46530

ความเป็นมาของแผนที่และต้นเหตุปัญหา

ประเด็นเรื่องแผนที่ชายแดนไทย-กัมพูชามีรากฐานมาจากยุคอาณานิคมฝรั่งเศส เมื่อสยามต้องสูญเสียดินแดนบางส่วนให้กับฝรั่งเศส ซึ่งขณะนั้นปกครองอินโดจีนและกัมพูชา การปักปันเขตแดนในสมัยนั้นกระทำโดยคณะกรรมาธิการผสมปักปันเขตแดนสยาม-ฝรั่งเศส (Anglo-Siamese Delimitation Commission) และได้มีการจัดทำแผนที่ขึ้นในปี ค.ศ. 1907 แผนที่ฉบับแรกๆ ที่เป็นต้นตอของปัญหาคือแผนที่ระวางดงรัก (DANGRAK)  มาตราส่วนหนึ่งต่อสองแสน หรือ 1:200,000 ซึ่งมีการทำเครื่องหมายแนวเขตแดนเอาไว้ว่า ปราสาทเขาพระวิหารอยู่ในแดนของกัมพูชา

ต่อมา แผนที่มาตราส่วน 1:50,000 ของกรมแผนที่ทหารบกไทย ซึ่งมีความละเอียดมากขึ้น ถูกนำมาใช้ แต่ก็มีจุดที่ไม่ชัดเจนและตีความต่างกับแผนที่ฝรั่งเศสบ้าง สิ่งเหล่านี้กลายเป็น "ต้นเหตุของปัญหา" เนื่องจากการยึดถือแผนที่คนละฉบับ หรือการตีความเส้นเขตแดนบนแผนที่ที่แตกต่างกัน ทำให้เกิดการอ้างสิทธิ์พิพาทในพื้นที่ต่างๆ ตามแนวชายแดน

บทเรียนจากอดีต....กรณีปราสาทเขาพระวิหาร

กรณีที่โด่งดังที่สุดและแสดงให้เห็นถึงความสำคัญของแผนที่ในข้อพิพาทชายแดนคือ กรณีปราสาทเขาพระวิหาร ในปี พ.ศ. 2505 ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (International Court of Justice - ICJ) ได้ตัดสินให้ปราสาทเขาพระวิหารเป็นของกัมพูชา   โดยอ้างเหตุผลว่า

1.            ไทยได้ยอมรับแผนที่ 1:200,000 โดยไม่มีการคัดค้านเป็นเวลานาน

2.            มีการใช้แผนที่นี้ในการดำเนินการต่างๆ รวมถึงรูปหลักฐานที่เจ้าหน้าที่ระดับสูงของสยามเข้าไปเยี่ยมชมปราสาทโดยมีทหารฝรั่งเศสไปต้อนรับ

3.            หลักการ "การยอมรับโดยปริยาย" (Acquiescence) ในกฎหมายระหว่างประเทศ

ถึงแม้ประเทศไทยจะโต้แย้งว่าแผนที่1:200,000 มีความคลาดเคลื่อนและไม่ตรงตามหลักปักปันเขตแดนและสันปันน้ำที่แท้จริง แต่ศาลโลกก็ตัดสินโดยยึดตามหลักฐานที่ปรากฏ ซึ่งรวมถึงแผนที่ดังกล่าวด้วย คำตัดสินนี้เป็นบทเรียนสำคัญที่ชี้ให้เห็นว่าแผนที่ที่ไม่ได้รับการยอมรับร่วมกันอย่างชัดเจนสามารถนำไปสู่ความขัดแย้งระหว่างประเทศได้

เหตุการณ์ปัจจุบัน : ช่องบกและสามปราสาท

ในปัจจุบัน ปัญหาเรื่องแผนที่และแนวเขตแดนยังคงมีอยู่ เช่น กรณี ช่องบก (อ.น้ำยืน จ.อุบลราชธานี) และบริเวณ สามปราสาท (ตาเมือนธม  ตาเมือนโต๊ด และตาควาย) ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีการอ้างสิทธิ์ทับซ้อนและมีการเผชิญหน้ากันอยู่เป็นระยะ โดยมีสาเหตุมาจากความแตกต่างในการตีความแนวเขตแดนตามแผนที่และการสำรวจภาคพื้นดินที่ยังไม่สมบูรณ์ การปักปันเขตแดนที่ยังไม่เสร็จสิ้นทำให้เกิดความไม่ชัดเจนว่าพื้นที่ใดเป็นของประเทศใด ส่งผลให้เกิดความตึงเครียดและอาจนำไปสู่การปะทะกันทางทหารได้

เหตุที่อาจเกิดในอนาคต: เกาะกูดและพื้นที่ทับซ้อนทางทะเล

นอกจากปัญหาบนบกแล้ว พื้นที่ทับซ้อนทางทะเล ก็เป็นอีกหนึ่งประเด็นที่อาจกลายเป็นชนวนความขัดแย้งในอนาคต โดยเฉพาะบริเวณ เกาะกูด (จ.ตราด) และพื้นที่รอบๆ ซึ่งมีศักยภาพด้านทรัพยากรธรรมชาติ โดยเฉพาะน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ การกำหนดแนวเขตแดนทางทะเลยังไม่สมบูรณ์และยังคงเป็นข้อพิพาทระหว่างสองประเทศ หากไม่มีการเจรจาและหาข้อยุติที่ชัดเจน การสำรวจและใช้ประโยชน์จากทรัพยากรในพื้นที่ดังกล่าวอาจนำไปสู่ความขัดแย้งครั้งใหม่ได้

วิธีแก้ปัญหาหากการเจรจาไม่ได้ผล

การเจรจาเป็นหนทางที่ดีที่สุดในการแก้ไขปัญหาชายแดน แต่หากการเจรจาไม่ได้ผล ก็มีทางเลือกอื่นๆ ที่อาจพิจารณาได้:

1.            การนำเสนอต่ออนุญาโตตุลาการระหว่างประเทศ (International Arbitration): หากทั้งสองฝ่ายไม่สามารถตกลงกันได้ด้วยการเจรจาโดยตรง การนำเรื่องเข้าสู่กระบวนการอนุญาโตตุลาการระหว่างประเทศ โดยการแต่งตั้งคณะอนุญาโตตุลาการที่เป็นกลางเพื่อพิจารณาข้อพิพาทและออกคำตัดสินที่มีผลผูกพันตามกฎหมาย ก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่ง ซึ่งจะช่วยให้ปัญหายุติลงได้โดยอาศัยหลักกฎหมายและหลักฐานที่เกี่ยวข้อง

2.            การบริหารจัดการพื้นที่ร่วมกัน (Joint Development Area - JDA): ในกรณีที่ไม่สามารถตกลงเรื่องเขตแดนได้อย่างสมบูรณ์ โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีทรัพยากรธรรมชาติสำคัญ เช่น พื้นที่ทับซ้อนทางทะเล อาจพิจารณาแนวคิดการจัดตั้งเขตพัฒนาเศรษฐกิจร่วมกัน โดยที่ทั้งสองฝ่ายตกลงที่จะใช้ประโยชน์จากทรัพยากรในพื้นที่นั้นร่วมกัน และแบ่งปันผลประโยชน์อย่างเท่าเทียมกัน เพื่อหลีกเลี่ยงความขัดแย้งและส่งเสริมความร่วมมือทางเศรษฐกิจ

3.            การสร้างกลไกการแก้ไขปัญหาในระดับท้องถิ่น: การส่งเสริมความร่วมมือและการสื่อสารในระดับท้องถิ่นระหว่างเจ้าหน้าที่และประชาชนตามแนวชายแดน อาจช่วยลดความตึงเครียดและแก้ไขปัญหาเล็กๆ น้อยๆ ได้ก่อนที่จะบานปลายไปสู่ข้อพิพาทระดับชาติ การจัดตั้งคณะกรรมการร่วมชายแดนในระดับจังหวัดหรือภูมิภาค อาจเป็นแนวทางหนึ่งในการจัดการปัญหาเฉพาะหน้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ

สรุป ปัญหาเรื่องชายแดนระหว่างไทยกับกัมพูชาเป็นเรื่องละเอียดอ่อนและซับซ้อน ซึ่งต้องการความเข้าใจอย่างลึกซึ้งในประวัติศาสตร์ กฎหมายระหว่างประเทศ และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ การแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืนจำเป็นต้องอาศัยการเจรจาด้วยความจริงใจ การประนีประนอม และการยึดถือหลักกฎหมายระหว่างประเทศ เพื่อให้ทั้งสองประเทศสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างสันติและส่งเสริมความเจริญรุ่งเรืองร่วมกันในระยะยาว

โดย สุริยพงศ

เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

  • บทความพิเศษ : สหรัฐอเมริกาขัดแย้งกับกัมพูชา 2568 ไฟป่าที่ลุกลาม บทความพิเศษ : สหรัฐอเมริกาขัดแย้งกับกัมพูชา 2568 ไฟป่าที่ลุกลาม
  • บทความพิเศษ : ‘รู้เขา รู้เขมร’ แรงงานกัมพูชาในประเทศไทย บทความพิเศษ : ‘รู้เขา รู้เขมร’ แรงงานกัมพูชาในประเทศไทย
  • บทความพิเศษ : ‘รู้เขา รู้เขมร’ เหตุลุกลาม \'สามปราสาท\' บทความพิเศษ : ‘รู้เขา รู้เขมร’ เหตุลุกลาม 'สามปราสาท'
  • บทความพิเศษ : ‘รู้เขา รู้เขมร’ การค้าขายระหว่างไทย-กัมพูชา บทความพิเศษ : ‘รู้เขา รู้เขมร’ การค้าขายระหว่างไทย-กัมพูชา
  • บทความพิเศษ : ‘รู้เขา รู้เขมร’ ช่องทางข้ามแดนไทย-กัมพูชา บทความพิเศษ : ‘รู้เขา รู้เขมร’ ช่องทางข้ามแดนไทย-กัมพูชา
  • บทความพิเศษ : ‘รู้เขา รู้เขมร’ วิกฤติการณ์ชายแดนไทย–กัมพูชา 2568 สาเหตุ ผลกระทบ และแนวโน้มในอนาคต บทความพิเศษ : ‘รู้เขา รู้เขมร’ วิกฤติการณ์ชายแดนไทย–กัมพูชา 2568 สาเหตุ ผลกระทบ และแนวโน้มในอนาคต
  •  

Breaking News

‘ศาลฎีกา’เรียก‘แพทยสภา’ 6 ปาก ขึ้นไต่สวนคดี‘ทักษิณ’นอนชั้น 14

รัฐบาลกัมพูชาลั่นโดนไทยถล่ม 8 จุด ปัดโจมตีพลเรือนในไทย

ปะทะหลายจุด!‘กองทัพภาคที่2’เตือนปชช.เลี่ยงเข้าใกล้แนวชายแดนไทย-กัมพูชา

สถานทูตสหรัฐฯออกแถลงการณ์ กังวลเหตุปะทะชายแดนไทย-กัมพูชา

Back to Top

ผู้ดูแลเว็บไซต์ www.naewna.com
webmaster นายปรเมษฐ์ ภู่โต
ดูแลรับผิดชอบข่าว/ภาพ/โฆษณา/ข้อมูลอื่นๆที่เกี่ยวข้องกับเว็บไซต์
กรรมการบริษัทฯ, กรรมการผู้มีอำนาจ ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการนำเสนอข่าว/ภาพ/ข้อมูลใดๆในเว็บไซต์ทั้งสิ้น

Social Media

  • หน้าแรก |
  • เกี่ยวกับแนวหน้า |
  • โฆษณากับเรา |
  • ร่วมงานกับเรา |
  • ติดต่อแนวหน้า |
  • นโยบายข้อตกลง
Copyright © 2025 Naewna.com All right reserved