ประเทศไทยและกัมพูชามีประวัติศาสตร์ความสัมพันธ์อันยาวนาน ทั้งด้านวัฒนธรรม เศรษฐกิจ และสังคม แต่ในขณะเดียวกันก็เต็มไปด้วยความขัดแย้ง โดยมี "แผนที่" เป็นหนึ่งในชนวนที่จุดประกายปัญหามาต่อเนื่อง โดยเฉพาะแผนที่มาตราส่วน 1:200,000 และ 1:50,000 ที่แสดงเส้นแบ่งเขตแดนไม่ตรงกัน ซึ่งนำไปสู่ความตึงเครียดและข้อพิพาทหลายครั้ง
แผนที่ระวาง ดงรัก (Dangrek) มาตราส่วน 1:200,000 ที่สยามจัดทำร่วมกับฝรั่งเศส (ที่มา: ICJ/National Library of Australia)
https://isranews.org/article/isranews-scoop/139483-isranews-THHHHH.html
https://prachatai.com/journal/2013/05/46530
ความเป็นมาของแผนที่และต้นเหตุปัญหา
ประเด็นเรื่องแผนที่ชายแดนไทย-กัมพูชามีรากฐานมาจากยุคอาณานิคมฝรั่งเศส เมื่อสยามต้องสูญเสียดินแดนบางส่วนให้กับฝรั่งเศส ซึ่งขณะนั้นปกครองอินโดจีนและกัมพูชา การปักปันเขตแดนในสมัยนั้นกระทำโดยคณะกรรมาธิการผสมปักปันเขตแดนสยาม-ฝรั่งเศส (Anglo-Siamese Delimitation Commission) และได้มีการจัดทำแผนที่ขึ้นในปี ค.ศ. 1907 แผนที่ฉบับแรกๆ ที่เป็นต้นตอของปัญหาคือแผนที่ระวางดงรัก (DANGRAK) มาตราส่วนหนึ่งต่อสองแสน หรือ 1:200,000 ซึ่งมีการทำเครื่องหมายแนวเขตแดนเอาไว้ว่า ปราสาทเขาพระวิหารอยู่ในแดนของกัมพูชา
ต่อมา แผนที่มาตราส่วน 1:50,000 ของกรมแผนที่ทหารบกไทย ซึ่งมีความละเอียดมากขึ้น ถูกนำมาใช้ แต่ก็มีจุดที่ไม่ชัดเจนและตีความต่างกับแผนที่ฝรั่งเศสบ้าง สิ่งเหล่านี้กลายเป็น "ต้นเหตุของปัญหา" เนื่องจากการยึดถือแผนที่คนละฉบับ หรือการตีความเส้นเขตแดนบนแผนที่ที่แตกต่างกัน ทำให้เกิดการอ้างสิทธิ์พิพาทในพื้นที่ต่างๆ ตามแนวชายแดน
บทเรียนจากอดีต....กรณีปราสาทเขาพระวิหาร
กรณีที่โด่งดังที่สุดและแสดงให้เห็นถึงความสำคัญของแผนที่ในข้อพิพาทชายแดนคือ กรณีปราสาทเขาพระวิหาร ในปี พ.ศ. 2505 ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (International Court of Justice - ICJ) ได้ตัดสินให้ปราสาทเขาพระวิหารเป็นของกัมพูชา โดยอ้างเหตุผลว่า
1. ไทยได้ยอมรับแผนที่ 1:200,000 โดยไม่มีการคัดค้านเป็นเวลานาน
2. มีการใช้แผนที่นี้ในการดำเนินการต่างๆ รวมถึงรูปหลักฐานที่เจ้าหน้าที่ระดับสูงของสยามเข้าไปเยี่ยมชมปราสาทโดยมีทหารฝรั่งเศสไปต้อนรับ
3. หลักการ "การยอมรับโดยปริยาย" (Acquiescence) ในกฎหมายระหว่างประเทศ
ถึงแม้ประเทศไทยจะโต้แย้งว่าแผนที่1:200,000 มีความคลาดเคลื่อนและไม่ตรงตามหลักปักปันเขตแดนและสันปันน้ำที่แท้จริง แต่ศาลโลกก็ตัดสินโดยยึดตามหลักฐานที่ปรากฏ ซึ่งรวมถึงแผนที่ดังกล่าวด้วย คำตัดสินนี้เป็นบทเรียนสำคัญที่ชี้ให้เห็นว่าแผนที่ที่ไม่ได้รับการยอมรับร่วมกันอย่างชัดเจนสามารถนำไปสู่ความขัดแย้งระหว่างประเทศได้
เหตุการณ์ปัจจุบัน : ช่องบกและสามปราสาท
ในปัจจุบัน ปัญหาเรื่องแผนที่และแนวเขตแดนยังคงมีอยู่ เช่น กรณี ช่องบก (อ.น้ำยืน จ.อุบลราชธานี) และบริเวณ สามปราสาท (ตาเมือนธม ตาเมือนโต๊ด และตาควาย) ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีการอ้างสิทธิ์ทับซ้อนและมีการเผชิญหน้ากันอยู่เป็นระยะ โดยมีสาเหตุมาจากความแตกต่างในการตีความแนวเขตแดนตามแผนที่และการสำรวจภาคพื้นดินที่ยังไม่สมบูรณ์ การปักปันเขตแดนที่ยังไม่เสร็จสิ้นทำให้เกิดความไม่ชัดเจนว่าพื้นที่ใดเป็นของประเทศใด ส่งผลให้เกิดความตึงเครียดและอาจนำไปสู่การปะทะกันทางทหารได้
เหตุที่อาจเกิดในอนาคต: เกาะกูดและพื้นที่ทับซ้อนทางทะเล
นอกจากปัญหาบนบกแล้ว พื้นที่ทับซ้อนทางทะเล ก็เป็นอีกหนึ่งประเด็นที่อาจกลายเป็นชนวนความขัดแย้งในอนาคต โดยเฉพาะบริเวณ เกาะกูด (จ.ตราด) และพื้นที่รอบๆ ซึ่งมีศักยภาพด้านทรัพยากรธรรมชาติ โดยเฉพาะน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ การกำหนดแนวเขตแดนทางทะเลยังไม่สมบูรณ์และยังคงเป็นข้อพิพาทระหว่างสองประเทศ หากไม่มีการเจรจาและหาข้อยุติที่ชัดเจน การสำรวจและใช้ประโยชน์จากทรัพยากรในพื้นที่ดังกล่าวอาจนำไปสู่ความขัดแย้งครั้งใหม่ได้
วิธีแก้ปัญหาหากการเจรจาไม่ได้ผล
การเจรจาเป็นหนทางที่ดีที่สุดในการแก้ไขปัญหาชายแดน แต่หากการเจรจาไม่ได้ผล ก็มีทางเลือกอื่นๆ ที่อาจพิจารณาได้:
1. การนำเสนอต่ออนุญาโตตุลาการระหว่างประเทศ (International Arbitration): หากทั้งสองฝ่ายไม่สามารถตกลงกันได้ด้วยการเจรจาโดยตรง การนำเรื่องเข้าสู่กระบวนการอนุญาโตตุลาการระหว่างประเทศ โดยการแต่งตั้งคณะอนุญาโตตุลาการที่เป็นกลางเพื่อพิจารณาข้อพิพาทและออกคำตัดสินที่มีผลผูกพันตามกฎหมาย ก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่ง ซึ่งจะช่วยให้ปัญหายุติลงได้โดยอาศัยหลักกฎหมายและหลักฐานที่เกี่ยวข้อง
2. การบริหารจัดการพื้นที่ร่วมกัน (Joint Development Area - JDA): ในกรณีที่ไม่สามารถตกลงเรื่องเขตแดนได้อย่างสมบูรณ์ โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีทรัพยากรธรรมชาติสำคัญ เช่น พื้นที่ทับซ้อนทางทะเล อาจพิจารณาแนวคิดการจัดตั้งเขตพัฒนาเศรษฐกิจร่วมกัน โดยที่ทั้งสองฝ่ายตกลงที่จะใช้ประโยชน์จากทรัพยากรในพื้นที่นั้นร่วมกัน และแบ่งปันผลประโยชน์อย่างเท่าเทียมกัน เพื่อหลีกเลี่ยงความขัดแย้งและส่งเสริมความร่วมมือทางเศรษฐกิจ
3. การสร้างกลไกการแก้ไขปัญหาในระดับท้องถิ่น: การส่งเสริมความร่วมมือและการสื่อสารในระดับท้องถิ่นระหว่างเจ้าหน้าที่และประชาชนตามแนวชายแดน อาจช่วยลดความตึงเครียดและแก้ไขปัญหาเล็กๆ น้อยๆ ได้ก่อนที่จะบานปลายไปสู่ข้อพิพาทระดับชาติ การจัดตั้งคณะกรรมการร่วมชายแดนในระดับจังหวัดหรือภูมิภาค อาจเป็นแนวทางหนึ่งในการจัดการปัญหาเฉพาะหน้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ
สรุป ปัญหาเรื่องชายแดนระหว่างไทยกับกัมพูชาเป็นเรื่องละเอียดอ่อนและซับซ้อน ซึ่งต้องการความเข้าใจอย่างลึกซึ้งในประวัติศาสตร์ กฎหมายระหว่างประเทศ และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ การแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืนจำเป็นต้องอาศัยการเจรจาด้วยความจริงใจ การประนีประนอม และการยึดถือหลักกฎหมายระหว่างประเทศ เพื่อให้ทั้งสองประเทศสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างสันติและส่งเสริมความเจริญรุ่งเรืองร่วมกันในระยะยาว
โดย สุริยพงศ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี