ในปี พ.ศ. 2568 ความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐอเมริกากับกัมพูชาตกอยู่ในภาวะตึงเครียด การเผชิญหน้าครั้งนี้ไม่ได้จำกัดแค่เรื่องสิทธิมนุษยชนหรือประชาธิปไตย หากแต่ครอบคลุมถึงผลประโยชน์ทางยุทธศาสตร์ อิทธิพลของจีนในภูมิภาค และอาชญากรรมข้ามชาติที่สร้างแรงกดดันต่อความสัมพันธ์ทวิภาคีอย่างลึกซึ้ง
หนึ่งในปัจจัยหลักคือความใกล้ชิดระหว่างกัมพูชากับจีนที่ทวีขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะโครงการพัฒนา “ท่าเรือน้ำลึกเรียม” ซึ่งถูกจับตามองจากสหรัฐฯ และพันธมิตรว่าอาจกลายเป็นฐานทัพเรือของจีนในอนาคต
พร้อมกันนี้ กัมพูชาได้ปรับแนวทางทางเศรษฐกิจโดยหันไปพึ่งพาการลงทุนจากจีนมากขึ้น ลดบทบาทของประเทศตะวันตกอย่างเห็นได้ชัด ยิ่งเมื่อประกอบกับการดำเนินนโยบายภายในที่ถูกมองว่าเป็นการปราบปรามฝ่ายค้าน — อาทิ การยุบพรรค CNRP การจับกุมนักข่าว และการจำกัดเสรีภาพสื่อ — ยิ่งผลักดันให้รัฐบาลกัมพูชาถูกวิจารณ์อย่างรุนแรงจากสหรัฐฯ และยุโรป โดยเฉพาะการสืบทอดอำนาจจากฮุน เซน สู่ฮุน มาเนต ผ่านการเลือกตั้งที่ขาดความโปร่งใส
การตอบโต้จากฝั่งสหรัฐฯ ดำเนินไปในหลายรูปแบบ ตั้งแต่การใช้กฎหมายประชาธิปไตยกัมพูชา Cambodia Democracy Act เพื่อคว่ำบาตรรายบุคคลและองค์กรที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการละเมิดสิทธิมนุษยชน ไปจนถึงการระงับความช่วยเหลือทางทหาร ยกเลิกสิทธิพิเศษทางการค้า (GSP) และขึ้นภาษีสินค้าขาเข้าจากกัมพูชา ซึ่งสหรัฐมองว่า เป็นการสวมรอยของสินค้าจีน ซึ่งคาดว่าจะส่งผลกระทบอย่างหนักต่ออุตสาหกรรมสิ่งทอ เครื่องหนัง รองเท้าและกระเป๋าเดินทาง ของกัมพูชา ที่เป็นแหล่งจ้างงานสำคัญของประเทศ
อีกมิติหนึ่งของความขัดแย้งที่สหรัฐฯ เน้นย้ำ คือเรื่องของอาชญากรรมข้ามชาติที่มีศูนย์ปฏิบัติการอยู่ในกัมพูชา โดยเฉพาะการหลอกลวงพลเมืองสหรัฐฯ ผ่านคอลเซนเตอร์ของกลุ่มสแกมเมอร์ ที่ใช้เทคนิค "pig butchering" หลอกให้เหยื่อลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลก่อนยักยอกเงินไป สร้างความเสียหายจำนวนมหาศาล ขณะเดียวกัน กลุ่มธุรกิจฮุยวัน (Huione Group) ซึ่งถูกกล่าวหาว่าเป็นเครือข่ายฟอกเงินระดับโลก มูลค่ากว่า 4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ก็ถูกสหรัฐฯ ขึ้นบัญชีคว่ำบาตร โดยระบุว่ามีความเชื่อมโยงกับชนชั้นนำทางการเมืองกัมพูชา ซึ่งยิ่งทำให้ภาพลักษณ์ของรัฐบาลกัมพูชาเสียหาย และสร้างแรงกดดันให้สหรัฐฯ เร่งดำเนินมาตรการตอบโต้
ความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างสองประเทศอยู่ในระดับต่ำสุด การเจรจาระดับสูงแทบไม่เกิดขึ้น และเต็มไปด้วยความไม่ไว้วางใจ กัมพูชาตอบโต้ด้วยการจำกัดกิจกรรมขององค์กรที่เกี่ยวข้องกับสหรัฐฯ ส่วนสหรัฐฯ ก็ขยายรายชื่อบุคคลและองค์กรที่ถูกคว่ำบาตรเพิ่มเติมผ่านช่องทางกฎหมาย โดยมีข้อเรียกร้องให้กัมพูชาแสดงความโปร่งใสในโครงการท่าเรือเรียม และปราบปรามอาชญากรรมไซเบอร์อย่างจริงจัง
ในด้านเศรษฐกิจ เมื่อการขึ้นภาษีของสหรัฐ มีผลบังคับ กัมพูชาจะเผชิญแรงกดดันด้านการค้าอย่างหนัก เพราะสินค้ากัมพูชาที่ขายในสหรัฐฯ.จะมีราคาสูงขึ้นมาก นำไปสู่การเลิกจ้างงานในกัมพูชาจำนวนมาก เศรษฐกิจจะชะลอตัวลง และหากเรือรบจีนเริ่มปฏิบัติการจากท่าเรือเรียม เข้าพื้นที่พิพาทใกล้ชายฝั่งกัมพูชา ความเสี่ยงในการเผชิญหน้าระหว่างเรือรบของสหรัฐฯ กับจีนในทะเลจีนใต้จะกลายเป็นความเป็นจริงมากขึ้น
แม้ว่าการปะทะกันโดยตรงทางทหารยังไม่น่าจะเกิดขึ้นในระยะสั้น แต่การโจมตีทางวาทกรรม ข้อมูลข่าวสาร และไซเบอร์อาจทวีขึ้น และกลายเป็นสงครามเย็นยุคใหม่ที่เล่นกันด้วยข้อมูล เศรษฐกิจ และกฎหมายระหว่างประเทศ
การคลี่คลายสถานการณ์ยังคงเป็นความท้าทายที่ใหญ่หลวง ทั้งสองฝ่ายต่างไม่มีทีท่าจะประนีประนอมต่อกันอย่างเป็นรูปธรรมในเร็ววันนี้ แม้จะมีความเป็นไปได้ที่จะเริ่มเจรจาระดับล่าง เช่นเรื่องการผ่อนผันสิทธิพิเศษทางการค้า แต่เงื่อนไขเบื้องต้นยังห่างไกลจากจุดร่วม อาเซียนอาจพยายามเป็นตัวกลาง แต่บทบาทในการไกล่เกลี่ยก็ยังจำกัดด้วยหลักไม่แทรกแซงกิจการภายในของประเทศสมาชิก
สรุปแล้ว ความขัดแย้งระหว่างสหรัฐฯ กับกัมพูชาในปี 2568 คือภาพสะท้อนของการแข่งขันอิทธิพลในภูมิภาค การท้าทายระเบียบโลกที่ตั้งอยู่บนค่านิยมประชาธิปไตย และความไม่พอใจต่ออาชญากรรมข้ามชาติที่ลุกลามไปถึงพลเมืองต่างประเทศ การเผชิญหน้าครั้งนี้จึงไม่ใช่เรื่องไกลตัวสำหรับประชาคมอาเซียนหรือไทย หากปัญหานี้ยืดเยื้อ ย่อมกระทบต่อเสถียรภาพและความมั่นคงของทั้งภูมิภาคในระยะยาว
โดย สุริยพงศ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี