การให้ยาในตู้ปลาสวยงาม อาจให้ได้หลายวิธี เช่น การป้อนให้กิน การผสมอาหารให้กิน การทาบริเวณที่มีอาการ การผสมน้ำแล้วนำปลามาแช่ในระยะเวลาที่ต่างกัน การใส่ยาลงไปในน้ำที่เลี้ยงปลาโดยตรง หรือการให้ยาโดยการฉีดเข้ากล้ามเนื้อ ถุงลม ช่องท้อง เป็นต้น
ยากิน
ตัวอย่างยาที่นิยมให้โดยการป้อนให้กิน เช่น วิตามิน ยาถ่ายพยาธิที่มีฤทธิ์ฆ่าปรสิตภายใน และยาปฏิชีวนะ
ยาที่เป็นยาน้ำ สามารถใช้ไซริงค์ดูดยา แล้วป้อนเข้าปากปลาได้โดยตรงโดยหยดช้าๆ เพื่อให้ปลาค่อยๆ กลืนลงไป
การจับบังคับปลาเพื่อป้อนยาสามารถทำได้ในกรณีที่ปลาเชื่อง มีความคุ้นเคยกับผู้เลี้ยง และมีขนาดใหญ่พอประมาณ เช่น ปลาทอง ปลาคาร์พ เป็นต้น
ในกรณีปลาที่มีความก้าวร้าว ปลาที่ตื่นตกใจง่าย ไม่ควรให้ยาด้วยวิธีนี้ เพราะอาจทำให้ปลาดิ้นรนและบาดเจ็บจากการจับบังคับได้ ตัวอย่างของปลาที่ไม่ควรจับบังคับเพื่อการป้อนยา เช่น ปลามังกรหรือปลาอะโรวาน่าปลาหมอสี ปลาปอมปาดัวร์ เป็นต้น
ปลาที่ไม่สามารถให้ยาโดยการป้อนให้กินโดยตรงนั้น สามารถให้ยาได้โดยการผสมอาหาร ซึ่งวิธีการผสมอาหารทำได้โดยการนำยาที่คำนวณปริมาณที่ต้องการให้ปลาได้รับมาคลุกกับอาหารผงชนิดที่ปั้นเป็นก้อนเหนียวได้หรือนำอาหารเม็ดปกติที่ปลากินมาคลุกเคล้ากับยา แล้วนำมาผึ่งลมให้แห้งแล้วค่อยๆ ให้ปลากินช้าๆ จนหมด และทำการเตรียมใหม่ทุกครั้ง หรือผสมเจลาตินเหลวอุ่นๆ กับยา แล้วจึงนำอาหารมาคลุกแล้วผึ่งแห้ง เตรียมวันละครั้งในปริมาณที่เพียงพอสำหรับความต้องการของปลาในแต่ละวัน
ในกรณีปลากินเนื้อที่ไม่ได้กินอาหารเม็ด อาจนำยาที่ต้องการให้ปลากินฉีดเข้ากล้ามเนื้อของชิ้นเนื้อที่เป็นอาหารปลา หรือกรณีปลาเหยื่อมีชีวิต อาจนำยาที่ต้องการให้ปลาที่เลี้ยงได้รับโดยการฉีดเข้าช่องท้อง หรือถุงลม แล้วจึงนำปลาเหยื่อไปให้กับปลากิน
ยาทา
การให้ยาทาบริเวณที่มีอาการ สามารถทำได้เช่นกันในกรณีปลาที่เชื่องและคุ้นเคยกับผู้เลี้ยงเนื่องจากต้องจับปลาวันละหลายๆ ครั้งเพื่อทายา โดยยาที่นิยมใช้ เช่น เจลปฏิชีวนะป้ายตา รักษาอาการตาอักเสบเนื่องจากการติดเชื้อแบคทีเรีย เป็นต้น แต่เนื่องจากยาจะละลายน้ำหมดไปรวดเร็ว จึงต้องป้ายยาวันละหลายๆ ครั้ง ในสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำสวยงามนิยมใช้ทิงเจอร์ไอโอดีน เบตาดีน ยาเหลือง ยาแดง ในการทาป้ายฆ่าเชื้อแบคทีเรียที่ผิวหนัง
แต่ยาทาที่ผิวหนังไม่ควรใช้ในปลา เนื่องจากระบบป้องกันร่างกายของปลาจากการสร้างเมือกขึ้นปกคลุมบริเวณผิวหนังจะป้องกันการติดเชื้อแบคทีเรียในน้ำได้ และยาที่ทาผิวหนังจะเจือจางทันทีเมื่อปลาสัมผัสน้ำ หากจำเป็นต้องใช้ยาฆ่าเชื้อแบคทีเรียที่ผิวหนัง สามารถใช้ได้โดยการผสมน้ำแล้วนำปลามาแช่เป็นระยะเวลาสั้นๆ ครั้งละ 5-10 นาทีได้ ขึ้นอยู่กับชนิดของยาที่ใช้ ความเข้มข้นของยาที่เตรียม ความรุนแรงของโรค อายุของปลา ชนิดของปลา เป็นต้น ตัวอย่างยาที่ใช้โดยวิธีนี้ได้แก่ ยาปฏิชีวนะอ๊อกซี่เตตร้าซัยคลิน เกลือแกง ฟอร์มาลีน หรือแม้กระทั่งการนำปลาทะเลที่เลี้ยงในน้ำที่มีความเค็มมาแช่ในน้ำจืดเป็นระยะเวลา 5-10 นาที ก็สามารถช่วยลดปริมาณเชื้อแบคทีเรียและปรสิตภายนอกได้
การแช่ปลาเพื่อรักษาอาการติดเชื้อแบคทีเรีย นอกจากจะสามารถทำโดยการแช่เป็นระยะเวลาสั้นๆ ได้แล้วยังสามารถใช้แช่ระยะเวลานาน หรือผสมลงในน้ำเลี้ยงปลาแล้วเปลี่ยนถ่ายเมื่อมีการเปลี่ยนถ่ายน้ำได้ การใช้ยาปฏิชีวนะ ควรใช้ติดต่อกันเป็นเวลา 7-14 วัน ส่วนการใช้ยากำจัดปรสิตไม่ควรใช้ติดต่อกันทุกวัน เนื่องจากยาหรือสารเคมีที่มีฤทธิ์กำจัดปรสิตภายนอกมีความระคายเคืองต่อปลา และมีผลกระตุ้นให้ปลาสร้างและขับเมือก หากใช้ต่อเนื่องกันหลายวันจะทำให้ปลาขับเมือกมาก อ่อนเพลีย และเกิดการระคายเคืองที่ผิวหนังและเหงือกปลาอย่างรุนแรงและเป็นอันตรายต่อปลา ควรใช้สัปดาห์ละครั้ง จนกว่าอาการจะดีขึ้น
ยาฉีด
การให้ยาโดยการฉีดเข้าร่างกายปลา สามารถทำได้ 3 ช่องทาง ได้แก่ การฉีดยาเข้ากล้ามเนื้อ การฉีดยาเข้าช่องท้อง และการฉีดยาเข้าถุงลมส่วนการฉีดยาเข้าเส้นเลือดไม่เป็นที่นิยม เนื่องจากผนังเส้นเลือดปลาค่อนข้างบาง การฉีดในขณะที่ปลาดิ้นรนมาก มักทำให้ผนังเส้นเลือดฉีกขาด และทำให้เกิดเนื้อตายที่กล้ามเนื้อบริเวณหางได้
การให้ยาโดยการฉีด มีความจำเป็นในปลาที่ป่วยและไม่กินอาหารโดยเฉพาะในปลาที่เชื่องและมีความคุ้นเคยกับเจ้าของ การให้ยาด้วยวิธีฉีดจะช่วยให้ปลามีอาการดีขึ้นอย่างรวดเร็วกว่าวิธีการให้ยาวิธีอื่นๆ แต่ต้องกระทำโดยผู้ที่มีประสบการณ์ เนื่องจากต้องจับบังคับปลาและฉีดในตำแหน่งที่ถูกต้องจึงจะไม่เป็นอันตรายต่อผิวหนังและอวัยวะภายในต่างๆ
อย่างไรก็ดี การให้ยาวิธีต่างๆเพื่อรักษาปลานั้นจะได้ผลก็ต่อเมื่อวินิจฉัยโรคถูกต้อง เลือกใช้ยาเหมาะสม อาการของโรคยังไม่รุนแรงมากนัก หากปลาป่วยเป็นระยะเวลานานและโรคพัฒนาไปจนมีผลทำลายโครงสร้างและการทำหน้าที่ของอวัยวะในระบบต่างๆ ของปลาแล้ว การรักษาโดยวิธีใดๆ ก็ไม่ได้ผล และจะยิ่งส่งผลให้ปลาเกิดความเครียดและเสียชีวิตเร็วขึ้น
นอกจากนี้ การดูแลสภาพแวดล้อมควบคู่ไปกับการรักษาเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด เนื่องจากปลาเป็นสิ่งมีชีวิตที่ต้องอาศัยอยู่ในน้ำตลอดเวลาอย่างที่กล่าวไปแล้วในตอนแรก กิจกรรมและการดำรงชีวิตทุกชนิด เช่น การกินอาหาร การหายใจ การขับถ่าย การสืบพันธุ์ล้วนแต่ต้องอาศัยน้ำเป็นตัวกลาง ถ้าสภาพน้ำที่เลี้ยงไม่เหมาะสมต่อการดำรงชีวิตปกติ แล้วย่อมจะส่งผลต่อการเจ็บป่วยของปลาอย่างแน่นอนครับ
ขอขอบคุณข้อมูลดีๆ จาก “หน่วยวิจัยโรคติดเชื้อของปลา” (Fish infectious diseases Research Unit) คณะสัตวแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ นายสัตวแพทย์ ดร.ทิลดิสร์ รุ่งเรืองกิจไกร
ฝ่ายประชาสัมพันธ์และส่งเสริมภาพลักษณ์องค์กร
คณะสัตวแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี