ในสถานการณ์แข่งขันกันจับขั้วการเมืองเพื่อจัดตั้งรัฐบาล เลือกนายกฯคนใหม่

ปรากฏพฤติการณ์และแนวทางของพรรคการเมือง “ส้ม” และ “แดง” สำแดงออกมา อย่างน่าสนใจ

1. ขั้วการเมืองฝั่งสีน้ำเงิน สนับสนุนนายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทยเป็นนายกฯ

ปรากฏว่า มีเสียงสนับสนุนจากแกนนำพรรคพลังประชารัฐบางคน พรรครวมไทยสร้างชาติบางกลุ่ม

ที่สำคัญ มี สส.พรรคเพื่อไทยบางส่วน แสดงจุดยืนไม่ยกมือหนุนนายกฯจากพรรคเพื่อไทย อีกต่อไป!!!

2. สส. พรรคเพื่อไทยบางส่วน นำโดย นายศักดา วิเชียรศิลป์ สส. พรรคเพื่อไทย แสดงท่าทีพร้อมยกมือให้นายอนุทิน ชาญวีรกูล เป็นนายกรัฐมนตรี

นายศักดา ระบุว่า อยากเห็นประเทศเดินหน้า การมาตรงนี้มี สส. เพื่อไทย 10 กว่าคนจะตามมาด้วย การตัดสินใจนี้ถือเป็นเอกสิทธิ์ของผม และผมมั่นใจว่านายอนุทินเหมาะสม

3. ผึ้งแตกรัง หรือเห็บกระโดด?

คุณนุชนาถ จารุวงษ์เสถียร สส.ศรีสะเกษ เขต 9 พรรคเพื่อไทย โพสต์แสดงจุดยืนอย่างชัดเจน

“เรียน พี่น้องประชาชนที่เคารพ

ดิฉัน “ครูนุช” สส.ศรีสะเกษ เขต 9 ขอพื้นที่เล็กๆ แสดงความรู้สึกที่มีในใจต่อทุกเหตุการณ์ทางการเมืองที่เกิดขึ้นจากอดีตจนถึงปัจจุบัน รวมถึงการตัดสินใจหันหลังให้กับพรรคเพื่อไทย พรรคที่ดิฉันเคยยึดมั่นในอุดมการณ์มาโดยตลอดค่ะ

ดิฉันขอไล่เลียงความเป็นมาก่อนที่จะข่าวออกไปตามที่ทุกท่านได้เห็น ก่อนที่จะมีความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนไปมากกว่านี้

1. สส.ในพรรคเพื่อไทย ทราบเป็นอย่างดีว่าดิฉันมักจะแสดงความคิดเห็นในที่ประชุมในสิ่งที่ สส.หลายๆ ท่านไม่กล้าแสดงความคิดเห็น เนื่องจากเกรงว่าจะกระทบกับผู้ใหญ่ในพรรค

แต่ดิฉันด้วยความเป็นคนบ้านนอก คนของชาวบ้าน เป็น สส.สมัยแรกที่เข้ามาเพราะต้องการเปลี่ยนแปลงอะไรได้บ้าง จึงมักจะแสดงข้อคิดเห็นอย่างตรงไปตรงมา โดยไม่ได้สนใจผลกระทบเหล่านั้น

ซึ่งนั่นคือจุดชนวนหนึ่งที่ดิฉันเดินออกมา

2. หลังจากการแสดงความคิดเห็นที่ไม่ถูกใจผู้ใหญ่ในพรรค ไม่ว่าจะเป็นข้อเสนอเกี่ยวกับพื้นที่ เรื่องเศรษฐกิจ ราคาสินค้าเกษตร รวมทั้งปัญหาชายแดนกับประเทศเพื่อนบ้านมีผู้ใหญ่ในพรรคถึงกับพูดกับ สส.คนอื่นในพรรคที่อยู่พื้นที่ใกล้เคียงกับพื้นที่ของดิฉันว่าเป็นพวกหัวรุนแรง ไม่ต้องการให้ดิฉันลงสมัคร สส. ในนามพรรคเพื่อไทยต่อในสมัยหน้า ให้ช่วยหาคนมาลงแทนหน่อย

แล้วจะให้ดิฉันยืนอยู่ในจุดนั้นด้วยความสบายใจได้อย่างไร

3.เงินดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท ดิฉันรวมทั้ง สส.พรรคเพื่อไทย พยายามเสนอให้ฝ่ายบริหารดำเนินการให้แล้วเสร็จเพื่อให้เป็นไปตามนโยบายที่ได้สัญญาไว้กับพี่น้องประชาชน

แต่คำตอบที่ได้รับกลับมาคือความเงียบ ครั้งแล้วครั้งเล่า

ท่านต้องตอบคำถามประชาชนเองบ้าง ไม่ใช่ให้ สส. รับหน้าให้ไปวันๆ ว่างบประมาณเป็นแสนๆล้านที่ควรดำเนินการโครงการดังกล่าว ท่านเอาไปทำอะไร

ดิฉันเชื่อเหลือเกินว่า สส.ในพรรคเพื่อไทยส่วนใหญ่อึดอัดใจกับสถานการณ์ภายในพรรคที่เกิดขึ้น และรับไม่ได้กับสิ่งที่ต้องรับอยู่ในขณะนี้

4.เมื่อฟางเส้นสุดท้ายมาถึง ข้อเสนอต่างๆจาก สส.ในพรรคส่วนใหญ่ (ไม่ใช่แค่เพียงเสียงของดิฉัน) ไม่ได้รับการตอบสนอง

การเดินออกจากพรรคเพื่อไทยของดิฉัน ไม่ใช่ออกมาเพื่อสนับสนุนผู้ใด แต่การเดินออกมาเพราะเจตนารมณ์ของพรรคที่ดินฉันเคยศรัทธานั้นเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง

อุดมการณ์อันแน่วแน่ของพรรคไม่หลงเหลืออยู่แล้ว

สส.ในพื้นที่ต้องคอยรับหน้าให้กับการกระทำของฝ่ายบริหารพรรค ทั้งๆ ที่ไม่เห็นด้วยในหลายประเด็น

5.ดิฉันจะยังคงสนับสนุนแนวทางประชาธิปไตยที่ยึดเสียงของประชาชนเป็นสำคัญ

ที่ผ่านมา ดิฉันอาจเป็นตัวตลกในสายตาประชาชน แม้กระทั่งในเวลานี้ แต่นั่นไม่ได้ทำให้ดิฉันลดละความตั้งใจที่จะต่อสู้เพื่อพี่น้องประชาชนในพื้นที่ไปได้

ดิฉันไม่ได้มาจากตระกูลหรือครอบครัวของนักการเมือง ไม่ได้สืบทอดอำนาจมาจากผู้ใด ความตั้งใจที่เข้ามาในสนามการเมืองก็เพื่อต้องการเปลี่ยนแปลงบ้านเมืองให้ดีขึ้น

6.ดิฉันจะขอใช้เอกสิทธิ์ สส. สนับสนุนแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีจากพรรคใดก็แล้วแต่ ที่สามารถรวบรวมเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎรได้

ยกเว้นแคนดิเดตจากพรรคเพื่อไทย

เพื่อปูทางไปสู่การยุบสภาโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ คืนอำนาจสู่ประชาชน ปลดล็อกสถานการณ์อันเลวร้ายทางการเมือง

ถึงจะดิฉันจะต้องเสียตำแหน่ง สส. ไปก็ยินดี หรืออาจจะหมดโอกาสในการเดินเข้าสภาฯอีกก็ตาม

ดิฉันขอใช้หนึ่งเสียงที่ได้รับความไว้วางใจจากประชาชน เพื่อคืนอำนาจกลับสู่ประชาชนเช่นเดิม

ถ้าผู้คนทั้งประเทศตีตราว่าดิฉันเป็น “งูเห่า” ดิฉันขอเป็นงูเห่าที่ย้ายข้างไปยกมือคืนอำนาจให้กับประชาชน ขอบคุณค่ะ” -นุชนาถ จารุวงษ์เสถียร สส.ศรีสะเกษ เขต 9

“ฟางเส้นสุดท้าย” ก็คือ พฤติรรมของพรรคเพื่อไทยนั่นเอง

4. น่าสนใจว่า หลังจากนี้ จะมี สส เพื่อไทยอีกกี่คน ที่ “ทนไม่ได้”

ออกมาประกาศจุดยืนการตัดสินใจ “ไม่ยกมือให้นายกฯจากพรรคเพื่อไทย” อีกต่อไป

ตามข่าวระบุว่า จะมีอีกอย่างน้อยนับสิบคน

สภาพพรรคเพื่อไทย จะเป็นเหมือน “ผึ้งแตกรัง” หรือ “เห็บกระโดดหนี” ?

แต่ที่แน่ๆ สภาพตอนนี้ของพรรคเพื่อไทย แทบไม่ต่างกับ “ผีหัวขาด”

อย่าลืมว่า แพทองธาร ชินวัตร คือ หัวหน้าพรรคเพื่อไทย

เมื่อถูกศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยชี้ขาดให้พ้นจากตำแหน่ง เนื่องจากเหตุฝ่าฝืนมาตรฐานจริยธรรมร้ายแรงไปแล้ว

คำวินิจฉัยชี้ขาดของศาลรัฐธรรมนูญ ถือเป็นที่สุด มีผลผูกพันรัฐสภา รัฐบาล ศาล หน่วยงานของรัฐทั้งหมด

เท่ากับว่า แพทองธารขาดคุณสมบัติการเป็นหัวหน้าพรรคแล้ว หรือไม่

ตามข้อบังคับพรรคเพื่อไทย ข้อ 48 วรรคท้าย เขียนว่า คุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของคณะกรรมการบริหารพรรค ให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง

พ.ร.ป.พรรคการเมือง มาตรา 15 ระบุว่าข้อบังคับพรรคการเมือง ต้องมีรายการ ดังนี้ (11) มาตรฐานทางจริยธรรมของกรรมการบริหารพรรคและสมาชิก โดยมาตรฐานทางจริยธรรมของกรรมการบริหารพรรคอย่างน้อยต้องเทียบเคียงได้กับมาตรฐานทางจริยธรรมที่ใช้บังคับแก่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร

มาตรฐานทางจริยธรรม ที่ใช้กับ สส. ในหมวดที่ 1 มาตรฐานทางจริยธรรมอันเป็นอุดมการณ์ หากผิดถือว่า ร้ายแรง ในข้อ 6 ข้อ 7 และ ข้อ 8 คือ สิ่งที่ศาลรัฐธรรมนูญ มีคำวินิจฉัยว่าผิด

เท่ากับว่า พรรคเพื่อไทย “ผีหัวขาด” หรือไม่?

คณะกรรมการบริหารก็ต้องพ้นไปด้วย หรือไม่?

ตรงนี้ จะยิ่งเพิ่มแรงผลักให้ สส. เพื่อไทย เป็น “ผึ้งแตกรัง” หรือ“เห็บกระโดด” หรือไม่?

ยังไม่นับการดำเนินการขยายผลจากคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญหลังจากนี้ เพราะหัวหน้าพรรคเพื่อไทยเห็นชอบให้นางสาวแพทองธารได้รับแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีวัฒนธรรมอีกหนึ่งตำแหน่งทั้งๆ ที่ ขณะนั้นมีคำร้องไปที่ศาลรัฐธรรมนูญแล้ว การทำเช่นนั้นเพื่อผลประโยชน์ทางการเมืองของพรรคเพื่อไทย ที่จะให้หัวหน้าพรรคยังมีตำแหน่งรัฐมนตรีในรัฐบาลต่อไป แม้ถูกศาลรัฐธรรมนูญสั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่นายกฯ

เป็นการกระทำเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจการปกครอง โดยวิถีทางนอกรัฐธรรมนูญ หรือไม่?

โดยเฉพาะสุดท้าย ศาลรัฐธรรมนูญชี้ขาดแล้วว่า นายกฯอุ๊งอิ๊งค์ หัวหน้าพรรคเพื่อไทยฝ่าฝืนมาตรฐานจริยธรรมร้ายแรง

5. พรรคส้มฉวยโอกาส ตีกิน หาทางขี่คอรัฐบาลชุดใหม่ ทำให้รัฐบาลอ่อนแอที่สุด เพื่อผลประโยชน์การเมืองของตนถ่ายเดียว

ต้องการให้เกิดการตั้ง “รัฐบาลเสียงข้างน้อย” ที่พรรคส้มไม่ได้อยู่ร่วมรัฐบาล แต่สามารถใช้กลไกในสภา เช่น การอภิปรายไม่ไว้วางใจ ในการล้มรัฐบาลได้ในทันที หากไม่ทำตามความต้องการของตน

เงื่อนไขของพรรคส้ม เพื่อผลประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชนหรือเพื่อใคร ?

น่าคิดว่า ขณะนี้ ประเทศชาติไม่ได้ถึงทางตัน ไม่ได้จนตรอก

แต่พรรคการเมืองที่กำลังจนตรอก คือ พรรคส้ม

เพราะที่ผ่านมาวาทกรรมหลายเรื่องถูกตีแผ่คำหลอกลวง คำปลุกปั่น โดยเฉพาะการโจมตีด้อยค่าทำลายกองทัพ และการเซาะกร่อนบ่อนทำลายสถาบัน

สถานการณ์ขณะนี้ พรรคส้มไม่มีคนที่จะเป็นนายกรัฐมนตรี ในบัญชีรายชื่อของพรรคตนเอง

จึงพยายามทุกวิถีทางที่จะไปเลือกตั้งใหม่ ไม่คำนึงว่าปัญหาของประชาชนและประเทศชาติขณะนี้ รอไม่ได้

และปัญหาเร่งด่วน ไม่ใช่แก้รัฐธรรมนูญ

แต่ที่ผลักดันเงื่อนไขในขณะนี้ ก็เพื่อตอบโจทย์ทางการเมืองของผู้มีอำนาจเหนือพรรคตนเท่านั้น

ไม่ได้มีผลประโยชน์ของประชาชนจริงๆ เลย

ที่ผ่านมา บทบาทของการทำหน้าที่ฝ่ายค้านของพรรคส้มในการตรวจสอบรัฐบาล ก็เป็นที่กังขามาโดยตลอดว่า ไม่จริงจังกับการตรวจสอบรัฐบาลจากพรรคเพื่อไทย

มีดีลลับกับทักษิณ ใช่หรือไม่ ?

การเคลื่อนไหว ชี้นำปลุกปั่นของบุคคลที่มีอำนาจเหนือพรรคฯ โจมตีสถาบันพระมหากษัตริย์ พาให้มวลชนที่หลงเชื่อถูกดำเนินคดี และถูกทอดทิ้งในที่สุด

ทหารมีไว้ทำไม รบไปก็ไม่ชนะ คือวาทกรรมของศาสดาส้มที่ถูกทำลายลงด้วยความจริงเชิงประจักษ์ คนไทยรวมใจสนับสนุนทหาร ปกป้องอธิปไตย ทหารมีไว้ทำไม อาวุธที่ซื้อมาทำไม ก็ได้ใช้งาน สวนทางกับพวกด้อยค่า โกหก ทำให้คนเคยเข้าใจผิด แตกแยกในสังคม

น่าคิดว่า หากพรรคส้มปล่อยให้การเมืองในสภาวะปกติบริหารงานต่อไป พรรคส้มยิ่งตกเป็นเป้า และถูกลดทอนคะแนนนิยมลง จึงเกิดเงื่อนไข 4 เดือนยุบสภา ไม่เข้าร่วมรัฐบาล เพื่อทำหน้าที่ฝ่ายค้าน บริหารด้วยน้ำลาย และการปั่นกระแสต่อไป โดยหวังว่าผู้คนจะลืมเลือนความเท็จที่ถูกจับได้ไล่ทัน แล้วหลงใหลกับการปั่นกระแสสร้างภาพผ่านสื่อโซเชียลตามถนัดต่อไป

ข้อจำกัด 4 เดือนแก้ปัญหาวิกฤตต่างๆของประเทศไม่ได้แน่ แถมต้องแก้รัฐธรรมนูญ (แต่พรรคส้มจะปั่นกระแสอวดภูมิผ่านโซเชียลต่อไป เพราะไม่ได้ลงมือทำงานเอง)

คนไทย นักการเมืองไทย จะต้องพาตัวเองออกจากกับดักอันเลวร้ายนี้

สารส้ม