คณะกรรมาธิการการสังคม เด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ คนพิการ และผู้ด้อยโอกาส สภานิติบัญญัติแห่งชาติ โดยคณะอนุกรรมาธิการกิจการคนพิการ ได้จัดสัมมนา เรื่อง “ปัญหาและอุปสรรคในการบังคับใช้กฎหมายการส่งเสริมการมีงานทำของคนพิการตามมาตรา ๓๕ แห่งพระราชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ” โดยมีสาระสำคัญ ดังนี้
นายมณเฑียร บุญตัน รองประธานคณะกรรมาธิการการสังคมฯ คนที่หนึ่ง และประธานคณะอนุกรรมาธิการกิจการคนพิการ ได้กล่าวถึงวัตถุประสงค์ของการจัดว่าคณะกรรมาธิการการสังคมฯ โดยคณะอนุกรรมาธิการกิจการคนพิการ ได้พิจารณาศึกษาประเด็นการจ้างงานและการส่งเสริมการมีงานทำของคนพิการตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ ซึ่งประกอบด้วย ๓ มาตรการสำคัญ ได้แก่ (๑) การจ้างงานคนพิการตามมาตรา ๓๓ กำหนดให้หน่วยงานรัฐหรือเจ้าของสถานประกอบการต้องรับคนพิการเข้าทำงานในอัตราลูกจ้าง ๑๐๐ คน ต่อคนพิการ
๑ คน (๒) การจ่ายเงินเข้ากองทุนส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิต คนพิการตามมาตรา ๓๔ กรณีเจ้าของสถานประกอบการที่ไม่ได้รับคนพิการเข้าทำงานตามจำนวนที่กำหนดตามมาตรา ๓๓ต้องจ่ายเงินเข้ากองทุน และ (๓) มาตรการทางเลือกตามมาตรา ๓๕ กรณีหน่วยงานรัฐหรือเจ้าของสถานประกอบการที่ไม่ประสงค์จะรับคนพิการเข้าทำงานตามมาตรา ๓๓ สามารถเลือกดำเนินการได้ใน ๗ วิธี ได้แก่ (๑) การให้สัมปทาน (๒) จัดสถานที่จำหน่ายสินค้าหรือบริการ (๓) จัดจ้างเหมาช่วงงานหรือจ้างเหมาบริการโดยวิธีกรณีพิเศษ (๔) ฝึกงาน (๕) จัดให้มีอุปกรณ์หรือสิ่งอำนวยความสะดวก (๖) บริการล่ามภาษามือ หรือ (๗) การช่วยเหลือต่างๆ ให้กับคนพิการหรือผู้ดูแลคนพิการ ทั้งนี้ มาตรา ๓๕ ถือเป็นทางเลือกให้ผู้ประกอบการและคนพิการที่มีความยืดหยุ่น และเปิดโอกาสให้คนพิการได้เข้าถึงการมีงานทำและมีรายได้มากขึ้น แต่จากการบังคับใช้กฎหมายที่ผ่านมา ยังพบปัญหาและอุปสรรคหลายประการ อาทิ ปัญหาการขาดความรู้ ความเข้าใจของคนพิการ หน่วยงานรัฐและสถานประกอบการในการปฏิบัติตามมาตรา ๓๕ ให้ถูกต้องตามกฎหมาย และปัญหาการหลีกเลี่ยงไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย ดังนั้น เพื่อให้การบังคับใช้กฎหมายมาตรา ๓๕ เป็นไปตามเจตนารมณ์ในการส่งเสริมให้คนพิการมีงานทำมีอาชีพ มีรายได้ พึ่งพาตนเอง ไม่เป็นภาระของครอบครัวและชุมชน การจัดสัมมนาในครั้งนี้เพื่อเป็นเวทีสะท้อนความคิดเห็น ข้อเสนอแนะ และแนวทางแก้ไขปัญหาจากทุกภาคส่วน เพื่อเสนอต่อรัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการแก้ไขปรับปรุงกฎหมายต่อไป
นายวัลลภ ตังคณานุรักษ์ ประธานคณะกรรมาธิการการสังคมฯ กล่าวเปิดการสัมมนา และให้ข้อคิดเห็น ว่าหัวข้อของการสัมมนาในวันนี้ เกี่ยวข้องกับผมในฐานะประธานที่ช่วยในการทำงานให้กับสภานิติบัญญัติแห่งชาติ จำนวน ๓ คณะได้แก่ (๑) ประธานคณะกรรมาธิการการสังคมฯ ทำหน้าที่พิจารณาศึกษากฎหมายที่เกี่ยวข้องกับเรื่องสังคม เด็ก เยาวชนสตรี ผู้สูงอายุ คนพิการ และผู้ด้อยโอกาส ตามข้อบังคับ การประชุมของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (๒) ประธานคณะกรรมการกลั่นกรองกฎหมายของสภานิติบัญญัติแห่งชาติทำหน้าที่กลั่นกรองกฎหมายทุกฉบับทั้งก่อนเข้าสู่การพิจารณาของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ และเมื่อผ่านความเห็นชอบจากสภานิติบัญญัติแล้วไม่ให้มีความผิดพลาด และ (๓) ประธานคณะอนุกรรมาธิการติดตามมติของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ในคณะกรรมาธิการวิสามัญกิจการสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ทำหน้าที่ติดตามการออกกฎ ระเบียบ ประกาศ รวมทั้งการบังคับใช้กฎหมายที่ผ่านความเห็นชอบจากสภานิติบัญญัติแห่งชาติ
นอกจากนี้ การตั้งกระทู้ถามในที่ประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ถือเป็นกลไกสำคัญหนึ่งในการกำกับการบริหารราชการแผ่นดิน ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๕๗ จนถึงปัจจุบัน ผมได้ตั้งกระทู้ถามจำนวน ๓๐ กระทู้ การตั้งคำถามต่อรัฐบาลผ่านกระทู้ถามในที่ประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ส่งผลมากพอสมควรต่อการเปลี่ยนแปลงให้เกิดการแก้ไขปัญหา เนื่องจากรัฐบาลมักจะไม่ค่อยได้รับข้อมูลเชิงลึกของส่วนราชการระดับล่างมากนัก โดยกระทู้ถามที่ตรงกับหัวข้อสัมมนา ในวันนี้ คือ เรื่องการรับคนพิการเข้าทำงาน ซึ่งได้ตั้งกระทู้ถามเมื่อวันที่ ๓ กรกฎาคม ๒๕๕๘ ผ่านมาแล้วกว่า ๓ ปี กระทู้ถามดังกล่าวเนื่องมาจากกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิต คนพิการที่ใช้บังคับมานานแล้วแต่การจ้างงานคนพิการยังบังคับใช้ไม่ค่อยได้ผลมากนัก โดยภาคเอกชนหากไม่รับคนพิการทำงานก็ต้องจ่ายเงินเข้ากองทุนส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการหรืออาจจะจัดบริการอื่นตามมาตรา ๓๕ ซึ่งมีอยู่ ๗ วิธีการตามที่ได้ทราบแล้วนั้นแต่สำหรับภาครัฐ ซึ่งถูกบังคับโดยกฎหมายเช่นกัน แม้ไม่ได้กำหนดให้ภาครัฐต้องนำส่งเงินเข้ากองทุนฯ แต่ตัวเลขการจ้างงาน คนพิการของหน่วยงานภาครัฐก็ยังมีจำนวนไม่เป็นไปตามที่กฎหมายกำหนด จึงได้ตั้งคำถามต่อรัฐบาลว่ากฎหมายเกี่ยวกับการจ้างงานคนพิการได้ใช้บังคับทั้งกับภาครัฐและเอกชนนั้น ภาครัฐได้ดำเนินการเรื่องการจ้างงานคนพิการอย่างไร ทั้งนี้ รัฐมนตรีได้ตอบกระทู้ดังกล่าว จากนั้นได้ติดตามการดำเนินงานอย่างต่อเนื่อง ภายหลังจากกระทู้ถามได้มีการนำเสนอเรื่องการจ้างงานคนพิการของหน่วยงานภาครัฐต่อคณะกรรมการส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการแห่งชาติ ในการประชุมเมื่อวันที่ ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๕๘ และเสนอต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณา โดยคณะรัฐมนตรีได้สั่งการให้หน่วยงานของรัฐที่มีผู้ปฏิบัติงานตั้งแต่ ๑๐๐ คนขึ้นไปต้องรับคนพิการเข้าทำงานตามมาตรา ๓๓ หรือดำเนินการตามมาตรา ๓๕ แห่งพระราชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพคนพิการ พ.ศ. ๒๕๕๐ และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๖ ให้ครบตามอัตราส่วน ที่กฎหมายกำหนด ภายในปีงบประมาณ ๒๕๖๑ โดยปีงบประมาณ ๒๕๖๑ หน่วยงานภาครัฐต้องจ้างคนพิการ ให้ครบตามที่กฎหมายกำหนทั้งสิ้น ๑๒,๕๐๐ คน และข้อมูลเดือนกรกฎาคม ๒๕๖๑พบว่า หน่วยงานภาครัฐจ้างงานคนพิการแล้ว ๑๐,๒๕๖ คนซึ่งถือเป็นกระบวนการทำงานได้เร็วมากในรัฐบาลนี้ คิดเป็น ๘๒ เปอร์เซ็นต์ ของการรับคนพิการทำงานในภาครัฐ ดังนั้น จึงเป็นนิมิตหมายที่ดีอันเป็นผลต่อเนื่องจากการทำงานของคณะอนุกรรมาธิการกิจการคนพิการ ซึ่งได้ขับเคลื่อนผลักดันกฎหมายอย่างจริงจัง รวมทั้งการกำกับ ติดตาม กฎหมายทุกฉบับที่เกี่ยวกับคนพิการ โดยผลงานที่สำคัญคือ การเสนอแก้ไขกฎหมายว่าด้วยการควบคุมการขอทานซึ่งสำเร็จในยุคของสภานิติบัญญัติแห่งนี้
การอภิปราย เรื่อง “ปัญหาและอุปสรรคในการบังคับใช้กฎหมายการส่งเสริมการมีงานทำของคนพิการตามมาตรา ๓๕ แห่งพระราชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ”
นายมณเฑียร บุญตัน รองประธานคณะกรรมาธิการการสังคมฯ คนที่หนึ่ง ได้กล่าวนำการอภิปราย ดังนี้
การสัมมนาในวันนี้ วิทยากรจะมุ่งเน้นมาตรา ๓๕ ซึ่งเจตนารมณ์กำหนดให้เป็นทางเลือก ซึ่งทางหลักคือการจ้างงานในระบบปกติ ที่สมศักดิ์ศรี มีสวัสดิการ มีความต่อเนื่องทั้งนี้ ร่างมาตรา ๓๕ ได้ศึกษาต้นแบบของประเทศสหรัฐอเมริกาของกฎหมายชื่อว่า “The Randolph–Sheppard Act” ประกาศตั้งแต่สมัยท่านประธานาธิบดีรูสเวลต์ FranklinDelano Roosevelt หรือ FDR กฎหมายฉบับนี้เป็นกฎหมายให้แต้มต่อหรือกฎหมายมาตรการพิเศษ เพื่อส่งเสริมการมีอาชีพหรือการมีงานทำ กลุ่มคนพิการที่ได้รับประโยชน์จากกฎหมายฉบับนี้ คือ คนตาบอด และใช้กับหน่วยงานของรัฐเท่านั้น ซึ่งได้หลักการของกฎหมายฉบับนี้มาใช้ในการยกร่างมาตรา ๓๕ ของกฎหมายประเทศไทย โดยมีความเหมือนกันคือ เป็นกฎหมายกำหนดมาตรการเสริม ทางเลือก หรือมาตรการพิเศษเพื่อส่งเสริมการมีงานทำให้กับคนพิการ แต่มีความแตกต่างอยู่ ๔ ประการ ได้แก่ (๑) กฎหมายของสหรัฐอเมริกาใช้เฉพาะคนตาบอด แต่กฎหมายของไทยใช้กับคนพิการทุกประเภท (๒) กฎหมายของสหรัฐอเมริกาใช้เฉพาะคนพิการ คือ คนตาบอด แต่กฎหมายของไทยนอกจากคนพิการทุกประเภทแล้วยังรวมถึงผู้ดูแลคนพิการด้วยในบางกรณี ซึ่งอนุโลมให้ผู้ดูแลคนพิการใช้สิทธิแทนคนพิการได้(๓) กฎหมายของสหรัฐอเมริกาที่บังคับใช้เฉพาะหน่วยงานของรัฐ แต่กฎหมายของไทยบังคับใช้ทั้งกับหน่วยงานของรัฐและเอกชน และ (๔) กฎหมายของสหรัฐอเมริกากำหนดวิธีการไว้เฉพาะการให้สัมปทานและการจ้างเหมา แต่กฎหมายของประเทศไทยกำหนดวิธีการไว้ถึง ๗ วิธี ซึ่งรวมถึงล่ามภาษามือและการจัดสิ่งอำนวยความสะดวกที่ยังมีปัญหาในการตีความเช่นกันว่าต้องเป็นบริการที่เกี่ยวข้องกับการทำงานของคนพิการหรือไม่จึงจะเข้าตามเงื่อนไขของมาตรา ๓๕ดังนั้น การสัมมนาครั้งนี้จึงขอมุ่งเน้นเรื่องการมีงานทำ การจ้างงาน การส่งเสริมการมีงานทำ และการส่งเสริมอาชีพคนพิการ ตามมาตรา ๓๕ แต่อาจจะกล่าวรวมไปถึงการจ้างงานปกติตามมาตรา ๓๓ ในส่วนที่เกี่ยวข้องได้บ้าง และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะได้รับความร่วมมือจากทุกท่านที่จะได้ร่วมกันเสนอแนวทางแก้ไขปัญหา ทั้งปัญหากฎหมายไม่ดี ไม่ชัดเจน ปัญหาคนพิการไม่มีความรู้ความเข้าใจ ปัญหาคนพิการรู้แต่ยินยอมที่จะรับเงินบางส่วนที่ไม่ถูกต้องตามกฎหมาย หรือบางคนก็ยังมองว่าการจ้างงานคนพิการทำได้เท่านี้ก็ดีแล้วถือเป็นบุญเป็นกุศลแล้วซึ่งก็ยังมีความคิดเช่นนี้อยู่ในสังคมไทยเช่นกัน ในวันนี้จึงเป็นการแลกเปลี่ยน และเปิดรับฟังข้อมูล ข้อเท็จจริง และปัญหาของมาตรา ๓๕ ซึ่งถือเป็นนวัตกรรมทางกฎหมายของประเทศไทย แม้มาตรา ๓๕ไม่ใช่ยาวิเศษแต่ก็ไม่น่าจะใช่ยาพิษ จึงควรช่วยกันร่วมระดมความคิดเห็นและแนวทางแก้ไขปัญหาร่วมกันต่อไป
(อ่านต่อฉบับหน้า)
สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ถนนอู่ทองใน ดุสิต กทม. 10300 email : dek_senate@hotmail.co.th หรือ Facebook: กมธ.พัฒนาสังคม หรือ กลุ่มงานคณะกรรมาธิการการพัฒนาสังคมและกิจการเด็กฯ วุฒิสภา โทร.02-831-9225-6 แฟกซ์ 02-831-9226
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี