ปัญหาเรื่องโรคผิวหนัง จัดเป็นปัญหาที่ใกล้ตัวเจ้าของสัตว์เลี้ยงเป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นอาการคัน ผิวหนังอักเสบ ไรขี้เรื้อน สิ่งเหล่านี้เจ้าของสัตว์หลายท่านคงมีข้อสงสัยและอยากทราบคำตอบกัน วันนี้ผมมีข้อมูลข้อสงสัยที่ถามกันมาบ่อยๆ จากคลินิกโรคผิวหนัง โรงพยาบาลสัตว์เล็ก คณะสัตวแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มาฝากครับ
ข้อข้องใจที่ 1 อาการคันในสัตว์เลี้ยง มีสาเหตุมาจากเรื่องอะไรได้บ้าง?
อาการคันผิวหนังเกิดได้จากหลายสาเหตุ ปัจจัยเบื้องต้น เช่น
- การมีปรสิตภายนอก เช่นเห็บและหมัด
- สุขลักษณะของการเลี้ยงดูและความสะอาด เช่น การปล่อยให้สัตว์เลี้ยงออกนอกบ้าน โอกาสที่สัตว์เลี้ยงจะไปคลุกคลีกับสิ่งสกปรกนอกบ้านได้มากแต่ไหน
- วิธีการทำความสะอาดสุนัข เช่น การอาบน้ำ การเช็ดทำความสะอาด หรือการใช้ผมทำความสะอาด (แชมพูแห่ง) ในความสกปรกแต่ละระดับ
-ความถี่และรายละเอียดในการอาบน้ำ เช่น ที่อาบน้ำบ่อยแค่ไหน แต่ละครั้งอาบนานแค่ไหน ลักษณะของน้ำที่ใช้เป็นอย่างไร (ใช้น้ำอุ่นหรือน้ำเย็น) ล้างแชมพูออกเกลี้ยงหรือไม่ มีการทำให้ตัวแห้งหลังอาบหรือไม่ ทำโดยวิธีใด (เช็ดตัวใช้พัดลมเป่า ใช้ไดร์เป่าด้วยลมร้อน)
- การเลือกใช้แชมพู ที่เหมาะกับสภาพความเป็นกรดด่างของผิวหนังสุนัข/แมวหรือไม่ เช่น ใช้แชมพูหรือครีมอาบน้ำของคน การใช้แชมพูกำจัดเห็บหมัด
การเปลี่ยนแชมพูชนิดใหม่ ฯลฯ
ซึ่งหากเรามีการดูแลอย่างถูกต้องเป็นประจำอยู่แล้ว แต่สุนัขก็ยังมีอาการคันเกิดขึ้นอยู่ ก็อาจต้องพิจารณาว่าสามารถเกิดได้จากสาเหตุอื่นได้ เช่น โรคติดเชื้อที่ผิวหนัง ที่อาจเป็นแบคทีเรียหรือเชื้อรา (หรือทั้ง 2 อย่างร่วมกัน) โรคภูมิแพ้ในสัตว์เลี้ยงที่มักแสดงออกทางความผิดปกติที่ผิวหนัง เรื่องเหล่านี้เจ้าของควรพาสัตว์เลี้ยงไปพบสัตวแพทย์ เพื่อหาสาเหตุที่แท้จริงของโรคและให้การรักษาที่ถูกต้องต่อไป
ข้อข้องใจที่ 2 สัตว์เลี้ยงที่เป็นโรคไรขี้เรื้อน สามารถติดต่อสู่คนหรือไม่?
ต้องเรียนให้ทราบก่อนว่า โรคไรขี้เรื้อนในสัตว์เลี้ยงเกิดจาก “เชื้อไรขี้เรื้อน” ซึ่งหลายคนจะเข้าใจผิดว่าการที่สุนัขที่มีความผิดปกติที่ผิวหนังทั้งหมดคือ “ขี้เรื้อน” ซึ่งเป็นความเข้าใจที่ไม่ถูกต้องครับ โรคขี้เรือนในสุนัขถือเป็นโรคผิวหนัง แต่โรคผิวหนังในสุนัขไม่ได้มีเฉพาะแต่ขี้เรือน ดังนั้น โรคผิวหนังในสุนัขจะไม่ใช่โรคไรขี้เรือนเสมอไป
โรคไรขี้เรื้อนมี 2 ประเภท ซึ่งเกิดจากเชื้อปรสิตที่แตกต่างกันได้แก่
- ขี้เรื้อนแห้ง (Sarcopticosis) เกิดจากตัวไรขี้เรื้อน Sarcoptes scabiei อาจเรียกชื่อโรคนี้อีกชื่อว่า โรค Scabies ซึ่งไรขี้เรื้อนชนิดนี้ ชอบอยู่ตามขอบใบหู ใต้ท้อง ข้อศอก และข้อเท้าของขาหลังด้านนอก ทำให้สุนัขคันมาก มีอาการเกาอย่างรุนแรง ทำให้เกิดสะเก็ดรังแค (scale) คราบสะเก็ดแห้งกรัง(crust) หรือเกิดลักษณะผิวแห้งหนา (lichenification) หรืออาจมีแปลจากการเการ่วมด้วย โรคนี้สามารถติดคนและสัตว์เลี้ยงตัวอื่นๆ ได้ครับ ดังนั้นต้องระวังให้ดี
- ขี้เรื้อนเปียก (Demodicosis) เกิดจากเชื้อไรขี้เรื้อนชนิด demodex canis อาจเรียกชื่อว่า โรคไรขี้เรื้อนเปียก หรือโรคไรขี้เรื้อนขุมขน เพราะชอบอยู่ที่รูขุมขนบริเวณใบหน้า หัว รอบตา ลำตัว ขา ฝ่าเท้า และอุ้งเท้า ทำให้สุนัขมีอาการขนร่วง มีเม็ดตุ่ม มีตุ่มหนอง ผิวหนังเยิ้มแฉะ มีแผลหลุม มีแผลโพรงทะลุ มีกลิ่นตัวเพราะเกิดรูขุมขนอักเสบ (Folliculitis) และมักมีการติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อนด้วย ผิวหนังจึงมีกลิ่นเหม็น และเปียกแฉะไปด้วยเลือดและหนอง จึงเป็นที่มาของ “ขี้เรื้อนเปียก” ครับ
ขี้เรื้อนเปียกนี้ เกี่ยวข้องกับระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย จึงมักจะจะเกิดในสุนัขอายุน้อยๆ หรือสุนัขอายุมากๆ ที่ป่วยเป็นโรคที่ทำให้ภูมิคุ้มกันในร่างกายต่ำ ดังนั้นโรคนี้ไม่ติดต่อสู่คนและสัตว์เลี้ยงอื่น ไม่ต้องวิตกว่าจะติดไปด้วยนะครับ
การรักษาโรคไรขี้เรื้อนทั้ง 2 ประเภทนี้ จะต้องอาศัยการเอาใจใส่ และใช้ระยะเวลาในการรักษา ร่วมกับการดูแลอย่างต่อเนื่องครับ
ข้อข้องใจที่ 3 การอาบน้ำให้สุนัข ควรทำบ่อยแค่ไหน?
ในสุนัขที่มีสภาพผิวหนังและขนปกติ (ภายใต้การเลี้ยงที่สะอาดและสภาพอากาศที่ไม่ร้อนเกินไป) แนะนำให้อาบน้ำด้วยแชมพูสำหรับสัตว์เลี้ยงสัปดาห์ละ 1 ครั้งก็เพียงพอ (อาจอาบบ่อยขึ้นหรือห่างออกเป็นทุก 2 สัปดาห์ก็ได้ขึ้นอยู่กับสถานการณ์) แต่ที่สำคัญต้องเป่าขนให้แห้งสนิท (ทั้งนี้อาจขึ้นอยู่กับสภาพอากาศและความสกปรกของสุนัขและแมวด้วย)
การอาบน้ำ (ด้วยแชมพู) ที่บ่อยเกินไปนั้นไม่ใช่วิธีที่ดี เนื่องจากแชมพูจะเป็นตัวชะล้างความชุ่มชื้นที่ผิวหนัง ทำให้เกิดผิวแห้ง คัน และอาจโน้มนำให้เกิดโรคผิวหนังตามมาได้ (ทั้งนี้ไม่ได้หมายรวมถึงการอาบน้ำด้วยน้ำเปล่าๆ เพื่อช่วยระบายความร้อน ในช่วงที่อากาศร้อนอบอ้าว ซึ่งอาจทำได้บ่อยขึ้นนะครับ)
ในกรณีที่สุนัขเป็นโรคผิวหนังที่เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย หรือเชื้อราก็มีความจำเป็นที่จะต้องใช้แชมพูยาตามที่สัตวแพทย์แนะนำ และอาจจะต้องอาบน้ำบ่อยกว่าสุนัขทั่วไป เป็นสัปดาห์ละ 2-3 ครั้งด้วยครับ
ข้อข้องใจที่ 4 เหตุใดสัตว์เลี้ยงที่เป็น “โรคภูมิแพ้ที่ผิวหนัง” จึงรักษาไม่หายขาดเสียที?
สัตว์เลี้ยงที่มีอาการคัน ผิวหนังแดงอักเสบ จากโรคภูมิแพ้ ที่แสดงอาการอยู่เป็นประจำนั้น หลายรายจะประสบปัญหาว่า แม้ว่าเพิ่งได้รับการรักษาไปจนอาการดีแล้ว แต่เพียงไม่นาน เมื่อหยุดใช้ยา ก็กลับมีอาการขึ้นมาอีก
กรณีนี้ต้องเรียนให้ทราบก่อนว่า “การแพ้” เกิดจากการที่ร่างกายแสดงการตอบสนองต่อ “สิ่งที่มากระตุ้นการแพ้” (Allergen) เมื่ออยู่ในช่วงของการรักษา ก็จะได้รับยาที่ลดปฏิกิริยาการแสดงออกนั้น อาการก็จะดี จนดูปกติ แต่หากหยุดยาแต่สัตว์เลี้ยงยังได้รับสิ่งที่กระตุ้นการแพ้อยู่อย่างต่อเนื่องก็จะแสดงปัญหาที่ผิวหนังได้ตลอดเวลา
โดยปกติแล้ว สาเหตุที่ก่อให้เกิดการแพ้ในสัตว์เลี้ยง มักมาจาก 2 ปัจจัยคือ 1.อาหาร และ 2.สิ่งแวดล้อม เช่น ไรฝุ่น ละอองจากหญ้าและเกสรดอกไม้เป็นต้น ปัจจัยเหล่านี้ เป็นการยากมากที่จะหลีกเลี่ยงให้ได้ 100% ดังนั้นเมื่อสัตว์ยังสัมผัสสาเหตุอยู่ ก็สามารถแสดงอาการผิดปกติอย่างต่อเนื่อง หรือเป็นๆ หายๆ ได้ ดังนั้น หากหลีกเลี่ยงจากสาเหตุของการแพ้ไม่ได้ ก็มีความจำเป็นอย่างมากที่ต้องได้รับการรักษาจากสัตวแพทย์อย่างต่อเนื่องครับ
เรื่องข้อสงสัยเกี่ยวกับโรคผิวหนังของสัตว์เลี้ยง ยังไม่หมดแค่นี้ครับสัปดาห์หน้าเรามาคุยเรื่องนี้กันต่อครับ
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ นายสัตวแพทย์ ดร.ทิลดิสร์ รุ่งเรืองกิจไกร
ฝ่ายประชาสัมพันธ์ คณะสัตวแพทยศาสตร์
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี