ตามที่ประเทศไทยได้เข้าร่วมเป็นภาคีในอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิคนพิการแห่งสหประชาชาติ (Convention on the Rights of Persons with Disabilities : CRPD) และประเทศไทยได้จัดทำรายงานผลการดำเนินงานตาม CPRD พร้อมทั้งนำเสนอรายงานต่อคณะกรรมการ CPRDเมื่อเดือนมีนาคม พ.ศ. ๒๕๕๙ โดยคณะกรรมการ CRPDได้จัดทำข้อสังเกตเชิงสรุปต่อรายงานของประเทศไทย (Concluding observations on the initial report of Thailand) ซึ่งประเทศไทยต้องรับข้อสังเกตดังกล่าวมาเพื่อดำเนินการ โดยประเทศไทยจะต้องนำเสนอรายงานผลการดำเนินการตาม CRPD ครั้งต่อไป ในปี พ.ศ. ๒๕๖๖ ทั้งนี้ ประเด็น “คนพิการทางจิตสังคม” เป็นประเด็นหนึ่งในข้อสังเกตเชิงสรุปดังกล่าวที่ประเทศไทยยังมีประสบการณ์น้อยและการดำเนินงานยังไม่สอดคล้องกับ CRPD
คำว่า “คนพิการทางจิตสังคม (Psycho Social Disability)” เป็นชื่อที่กลุ่มคนพิการทางจิตสังคมในระดับโลกซึ่งเคลื่อนไหวเรียกร้องสิทธิของกลุ่มตนอย่างเป็นระบบใช้เรียกแทนกลุ่มของตนเอง ดังนั้น รายงานของคณะกรรมาธิการ จึงใช้คำว่า “คนพิการทางจิตสังคม” เพื่อให้สอดคล้องกับชื่อที่กลุ่มบุคคลดังกล่าวใช้เรียกกลุ่มตนเอง เนื่องจากแต่ละหน่วยงาน แต่ละกฎหมาย หรือบุคลากรที่เกี่ยวข้อง อาจจะเรียกคนกลุ่มนี้แตกต่างกันไปตามสภาวะการเจ็บป่วยหรือความบกพร่อง เช่น คนพิการทางจิต ผู้ป่วยจิตเวช เป็นต้น
ผู้บกพร่องทางจิต ถือเป็นคำกลางๆ ที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน แม้ในอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิคนพิการ ข้อบทที่ ๑ ว่าด้วยประเภทความบกพร่องจะใช้คำว่า Mental แต่การอธิบายและการจัดทำรายงาน รวมถึงความเห็นทั่วไปของคณะกรรมการ CRPD ใช้คำว่า “คนพิการทางจิตสังคม” เพื่อเน้นย้ำถึงเงื่อนไขทางสังคมว่ามีผลต่อความรุนแรงของความพิการ ไม่ใช่ความบกพร่องทางจิต จึงเกิดคำถามกรณีการดำเนินงานของประเทศไทยต่อประชากรกลุ่มนี้ในฐานะผู้ป่วยทางจิต ผู้บกพร่องทางจิต หรือคนพิการทางจิตสังคม ภายใต้พระราชบัญญัติสุขภาพจิต พ.ศ. ๒๕๕๑
CRPD มองว่ามนุษย์ทุกคนมีเจตจำนงเสรี เป็นเจ้าของสิทธิที่ควรจะได้รับความคุ้มครองและส่งเสริม ทุกคนมีความเท่าเทียมกันในเรื่องของความสามารถทางกฎหมาย และสามารถที่จะตัดสินใจด้วยตัวเองทั้งในเรื่องสุขภาพ การดำรงชีวิต การจะรักษาโรค อย่างไรก็ตามCRPD ไม่ได้ปฏิเสธว่าบุคคลย่อมมีข้อจำกัดที่แตกต่างกัน CPRD จึงสนับสนุนให้มีกระบวนการสนับสนุนการตัดสินใจด้วยตนเอง (Supported Decision-Making) ซึ่งปัจจุบันกระบวนการดังกล่าวมีน้อยมาก โดยพื้นฐานของกฎหมายเดิมของประเทศไทยและทั่วโลก เมื่อเป็นผู้ป่วยทางจิตก็มักจะอยู่ในฐานะที่ไม่สามารถตัดสินใจได้ด้วยตนเอง ความเจ็บป่วยทำให้มีการตัดสินใจแทน รวมถึงการรักษา การกักขัง การนำไปไว้ในสถานสงเคราะห์โดยไม่สมัครใจ และถือเป็นประเด็นที่ประเทศไทยจะต้องเตรียมตอบคำถามของกรรมการ CRPD ใน ๖ ปีข้างหน้าต่อไป
นอกจากนี้ องค์การอนามัยโลก หรือ WHO (World Health Organization) ได้ออก “WHO Quality Rights guidance and training tools” ซึ่งเป็นแนวทางและเครื่องมือเพื่อนำไปใช้สร้างความรู้ ความเข้าใจ และพัฒนาศักยภาพคนที่ทำงานด้านสุขภาพจิต (Mental Health) ตั้งแต่ผู้ปฏิบัติไปจนถึงตัวคนพิการทางจิตสังคมเองโดยการนำหลักสิทธิมนุษยชนไปปรับใช้กับงานสุขภาพจิตซึ่งสอดคล้องกับ CRPD และมาตรฐานสิทธิมนุษยชนระดับสากล (International Human Rights Standards) มีวัตถุประสงค์หลัก ๕ ประการ ได้แก่ ๑) สร้างความเข้าใจและส่งเสริมหลักสิทธิมนุษยชน ๒) สร้างชุมชนเพื่อมุ่งเน้นการบำบัดฟื้นฟูโดยชุมชนเป็นหลัก ๓) พัฒนาคุณภาพของการรักษาโดยผนวกรวมเข้ากับหลักสิทธิมนุษยชน๔) พัฒนาภาคประชาสังคมให้เกิดการมีส่วนร่วมในกระบวนการตัดสินใจที่จะส่งเสริมเรื่องสิทธิมนุษยชน และ ๕) ปฏิรูปนโยบายและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง
ดังนั้น เพื่อให้แนวทางการจัดบริการสำหรับคนพิการทางจิตสังคมสอดคล้องตามอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิคนพิการ ตามข้อสังเกตเชิงสรุปซึ่งคณะกรรมการ CRPD มีต่อประเทศไทยหลังจากที่ได้นำเสนอรายงานการอนุวัติตามอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิคนพิการแล้ว คณะอนุกรรมาธิการกิจการคนพิการจึงเห็นควรพิจารณาศึกษาสถานการณ์ด้านคนพิการทางจิตสังคมในประเทศไทย แนวทางการให้บริการด้านสุขภาพจิต และการให้บริการคนพิการทางจิตสังคมในประเทศไทย เพื่อขับเคลื่อนประเด็นสุขภาพจิตทั้งกฎหมายว่าด้วยสุขภาพจิต องค์กรที่ดูแลคนพิการทางจิตสังคมแนวคิดด้านสิทธิมนุษยชนเกี่ยวกับคนพิการทางจิตสังคม การส่งเสริมการมีส่วนร่วมของเครือข่ายที่ทำงานด้านสุขภาพจิตและคนพิการทางจิตสังคม เพื่อส่งเสริมให้สังคมไทยเกิดความเข้าใจ ด้านสุขภาพจิตและคนพิการทางจิตสังคมตามหลักสิทธิมนุษยชน และจัดทำข้อเสนอแนะเชิงนโยบายต่อแนวทางการจัดบริการสำหรับคนพิการทางจิตสังคมตามหลักการของอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิคนพิการ
คณะกรรมาธิการการสังคม เด็ก เยาวชน สตรีผู้สูงอายุ คนพิการ และผู้ด้อยโอกาส สภานิติบัญญัติแห่งชาติ โดยคณะอนุกรรมาธิการกิจการคนพิการ ได้พิจารณาศึกษาและจัดทำรายงานแนวทางการจัดบริการสำหรับคนพิการทางจิตสังคมที่เหมาะสมในประเทศไทยตามหลักการของอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิคนพิการ “คนพิการทางจิตสังคม” ถือเป็นคำใหม่ซึ่งในกฎหมายไทยยังไม่มี แม้แต่ในสังคมโลกก็เพิ่งเริ่มใช้ ในกรรมการว่าด้วยสิทธิคนพิการแห่งสหประชาชาติที่แนะนำให้ใช้คำนี้ เนื่องจากเป็นคำที่มีการบูรณาการผสมกันระหว่างความบกพร่องทางจิตกับเงื่อนไขที่สังคมสร้างขึ้น ทั้งนี้ ผลการพิจารณาพบว่าประเด็นสำคัญของการให้บริการคนพิการทางจิตสังคมต้องทำให้สังคมยอมรับปัญหาของคนพิการทางจิตสังคม ทั้งนี้ เพื่อเป็น จุดเริ่มต้นในการทำงานเพื่อยกระดับการพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการทางจิตสังคมให้ดียิ่งขึ้น ซึ่งคุณภาพชีวิตที่ดีของคนพิการถือเป็นตัวชี้วัดสำคัญว่าสังคมโดยรวมมีความสุข และตัวชี้วัดความสำเร็จของงานคนพิการ คือ คนพิการทางจิตสังคม เนื่องจากเป็นงานที่ยากที่สุดในการขับเคลื่อนงานด้านคนพิการ ซึ่งภาคส่วนต้องมีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนงานไปด้วยกัน และแนวทางแก้ไขปัญหาที่สำคัญในการจัดบริการสำหรับคนพิการทางจิตสังคม คือ การผลักดันให้กระจายบริการสำหรับคนพิการทางจิตสังคมลงไปสู่ชุมชน พร้อมทั้งสร้างระบบสนับสนุนการตัดสินใจสำหรับคนพิการทางจิตสังคม เพื่อไม่ให้กฎหมายเป็นอุปสรรคต่อการดำรงชีวิตตามปกติของคนพิการ โดยความร่วมมือของทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่ต้องช่วยกันขับเคลื่อนงานให้เกิดผลเป็นรูปธรรม รวมทั้งเร่งสร้างความเข้าใจกับสังคมให้รับทราบว่า หากมีบริการสำหรับคนพิการทางจิตสังคมในชุมชนจะช่วยทำให้คนพิการทางจิตสังคมสามารถดำรงชีวิตอยู่ในสังคมได้ปกติเช่นคนทั่วไป
(อ่านต่อสัปดาห์หน้า)
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี